enneagramthailand.org

คุณโจเซฟีน เซคคัม


“ฉันมีลูกชาย 2 คน  หลานชาย 6 คน ฉันเป็นคนอังกฤษ อยู่ในลอนดอน  ปัจจุบันฉันทำงานอิสระเป็นที่ปรึกษาและให้การฝึกอบรมกับทั้งบุคคล ทีมงาน และองค์กรต่างๆ  โดยใช้ประสบการณ์การทำงานของฉันที่มีกับบริษัทโฆษณาและองค์กรการกุศลต่างๆ  ลูกค้าของฉันก็มีตั้งแต่บริษัทโฆษณา บริษัทขายตรง เป็นต้น  ฉันเรียกตัวเองว่าเป็น process consultant  คือช่วยเหลือให้ลูกค้าของฉันในกระบวนการสร้างไอเดียใหม่ๆ ช่วยระดมความคิด (brainstrom) ช่วยให้พวกเขาได้ข้อตกลงร่วมกัน (concensus)  เหล่านี้ก็เป็นงานที่เหมาะกับความเป็นลักษณ์หนึ่งของฉันมาก  เพราะมันทำให้ได้มาซึ่งคำตอบที่มีความชัดเจน มีพลัง และก่อให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา”

 รู้จักนพลักษณ์ได้อย่างไร

เธอยิ้มพร้อมกับแววตาที่เปล่งประกาย

“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักบวช มีอยู่วันหนึ่งฉันบอกกับท่านว่า  ด้วยลักษณะงานของฉันที่เป็นที่ปรึกษาอิสระนี้ ทุกๆปีฉันจะไปเข้าคอร์สฝึกอบรม เพื่อสร้างความสดชื่นและเติมพลังให้กับตัวเอง และเพื่อจะได้สร้างความคิดใหม่ๆ แล้วฉันก็ถามท่านว่า  ท่านจะแนะนำอะไรให้กับฉันสำหรับปีนี้ แล้วท่านก็บอกฉันว่า ฉันน่าจะได้รู้จักกับเอ็นเนียแกรมแล้วล่ะ…..

เธอยิ้มอีกครั้ง ด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้าเสมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมี่อวานนี้

“ฉันถามกลับไปว่ามัน (เอ็นเนียแกรม) คืออะไร ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าคนเรานั้นมีความแตกต่างกันและก็แบ่งความแตกต่างนั้นออกได้เป็น 9 ประเภท ตัวท่านเองเป็นคนสอง คือชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็มีคนสาม คือเป็นคนที่ยุ่งอยู่กับการสร้างความสำเร็จ แล้วท่านก็พูดถึงคนลักษณ์อื่นๆ  สุดท้ายท่านก็พูดว่า แล้วก็มีคนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมักจะจัดเสื้อผ้าในตู้โดยเรียงชุดที่มีสีเดียวกันไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ เช่น ชุดสีน้ำเงินทั้งหมดก็อยู่ด้วยกัน ชุดสีแดงทุกชุดก็อยู่เรียงกัน  ฉันตะลึงอย่างมากแล้วมองหน้าท่านพร้อมพูดขึ้นว่า ท่านรู้เรื่องนี้ของตัวฉันเองได้อย่างไร  ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า ท่านคิดว่าฉันเป็นคนลักษณ์หนึ่ง  แล้วฉันก็รู้สึกสนใจเอ็นเนียแกรมขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น”

หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าอบรมและศึกษานพลักษณ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง  ที่บ้านเกิดของเธอในประเทศอังกฤษ “ที่เมืองบริสตอลในประเทศอังกฤษตอนนั้น (1994) มีผู้ที่ผ่านการอบรมจากเฮเลน พาล์มเมอร์ 2 คนด้วยกัน คนหนึ่งเป็นแม่ชีซึ่งเป็นลักษณ์เจ็ด  และมีพระนักบวชอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นลักษณ์แปด  คนที่เป็นแม่ชีสอนเอ็นเนียแกรมมาประมาณ 15 ปีแล้ว ฉันจึงไปเข้าอบรมเอ็นเนียแกรมขั้นที่ 1 กับแม่ชี  โดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคนทั้ง 9 ลักษณ์  และการค้นหาลักษณ์ของตัวเอง  ต่อมาฉันก็เข้าอบรมเอ็นเนียแกรมขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับลักษณ์ย่อย เป็นคอร์สที่จัดขึ้นตอนสุดสัปดาห์  แม่ชีเป็นคนที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในฐานะที่เธอเป็นวิทยากรด้านจิตวิทยา  แล้วเธอก็สามารถผสมผสานทั้งจิตวิญญาณและจิตวิทยาในการอบรมเอ็นเนียแกรมของเธอได้อย่างดียิ่ง”

สำหรับโจเซฟินการค้นพบเอ็นเนียแกรมเป็นเสมือนการพบแหล่งน้ำทามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ เธอจึงดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่ “ตอนนั้นเธอ(แม่ชี)เปิดอบรมแค่เอ็นเนียแกรมคอร์สที่ 1 และ 2 เท่านั้น  ต่อมาฉันจึงขอให้เธอจัดอบรมเอ็นเนียแกรมคอร์สที่ 3 ด้วย เธอจึงจัดขึ้นมาใหม่ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการพึ่งพึงของคนเราในวัยเด็ก มีการฝึกสมาธิ และทำการฝึก dyad work (การจับคู่สอบถามซึ่งกันและกัน) บ้าง ก็เป็นเนื้อหาที่ลึกซึ้งอย่างมาก  หลังจากนั้นฉันก็อยากให้จัดอบรมเอ็นเนียแกรมคอร์สที่ 4 ต่อ แล้วแม่ชีก็บอกกับฉันว่า น่าจะได้เวลาสำหรับฉันที่จะไปแคลิฟอร์เนียแล้ว”

การศึกษานพลักษณ์ในขั้นสูงต่อไปของเธอคือ การเข้าอบรมในหลักสูตร Enneagram  Professional Training ที่จัดขึ้นโดย  The Trifold School for Enneagram Studies ในประเทศอเมริกา

“ตอนนั้นในยุโรปยังไม่มีการอบรมในระดับสูงเลย เว้นแต่ถ้าคุณรู้ภาษาเยอรมันก็สามารถไปเรียนต่อที่นั่นได้  ดังนั้นฉันเลยบินไปแคลิฟอร์เนียเข้าคอร์สสัปดาห์แรกกับเฮเลนในเดือนมกราคม  แล้วอบรมสัปดาห์ที่สองในเดือนสิงหาคม  หลังจากนั้นฉันก็กลับมาทำการบ้านเพื่อจะเป็น certified teacher จากเฮเลน พารม์เมอร์ (Helen Palmer) โดยมีแม่ชีเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ของฉัน  ฉันได้เป็นผู้ช่วยสอนเอ็นเนียแกรมที่สถาบันของแม่ชี  แล้วเดือนมกราคมปีถัดมาก็ไปแคลิฟอร์เนียเป็นสัปดาห์สุดท้าย  ซึ่งมีการทดสอบว่าจะผ่านหรือไม่ ในการทดสอบนั้น ฉันต้องนำการสัมภาษณ์ Panel (กลุ่มคนบนเวที) 2 ครั้งด้วยกัน  ซึ่งเกี่ยวกับลักษณ์ย่อย ฉันรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก  ท่านสันติกโรก็ได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับฉันอย่างมาก คือท่านเป็นลักษณ์หนึ่งเหมือนฉัน ก็เลยพูดกันด้วยความเข้าใจกันเป็นอย่างดี  แล้วฉันก็ผ่านการทดสอบจากเฮเลน”

อันเป็นที่มาของบทบาทการเป็นครูสอนเอ็นเนียแกรมของเธอในปัจจุบัน

“ประสบการณ์ของฉันจากการเป็นผู้ช่วยสอนของแม่ชี  ช่วยฉันได้อย่างมาก  หลังจากนั้นฉันก็กลับไปร่วมทีมงานกับที่บริสตอล  ตอนนี้เรามีคอร์สเอ็นเนียแกรม 4 คอร์สแล้ว  และฉันเพิ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการอบรมเอ็นเนียแกรม 1 และ 2

ในฐานะของครูสอนนพลักษณ์ที่เธอเป็นอยู่ในปัจจุบัน เธอได้เล่าให้ฟังถึงประวัติความเป็นมาของศาสตร์เอ็นเนียแกรมอย่างคร่าวๆ ดังนี้

“ย้อนกลับไปในช่วงปี 1970  มีคนอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ที่เข้าอบรมกับนารานโจ กลุ่มแรกคือชาวเจซูอิต ซึ่งเป็นนักบวชนิกายหนึ่งในศาสนาคริสต์ ที่ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างใกล้ชิด  นักบวชเหล่านี้จึงประสบปัญหาที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างทางบุคลิกภาพ เมื่อมาค้นพบเอ็นเนียแกรมซึ่งสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขารักเอ็นเนียแกรมอย่างมาก ภายในระยะเวลา 10 ปี  นักบวชเจซูอิตนี้จึงนำความรู้นี้เผยแพร่ในชุมชนทางศาสนาของตนไปทั่วโลก

อีกกลุ่มหนึ่งก็ประกอบด้วยนักจิตวิทยาแนวที่เน้นญาณสังหรณ์อย่างเช่น เฮเลน พาล์มเมอร์ ซานตรา ไมตรี (Sandra Maitri) และ เอ เอช ฮาลมาส (A. H. Almaas) ซานตรา และ ฮาลมาส ได้พัฒนาวิธีการที่เรียกว่า Diamond Approach คือ มองเอ็นเนียแกรมจากแง่มุมด้านจิตวิญญาณที่เรียกว่า Holy Idea ลงไป หรืออาจจะเรียกว่าเป็นแบบ top down ในขณะที่เฮเลนใช้วิธี bottom-up คือเริ่มจากประเด็นปัญหาไปยังกิเลส แล้วไล่ขึ้นไป ทั้งสองแนวทางก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ เฮเลนเองได้ให้การอบรมเอ็นเนียแกรมกับคนร่วมพันคนซึ่งกระจายไปทั่วโลก ในเดนมาร์คมี 3 คน ในอังกฤษ 18 คน ในอเมริกามีนับร้อยคน ในออสเตรเลีย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ รวมทั้งในไทยเป็นต้น”

จากแนวทางที่ต่างกันออกไปนี้ แนวทางไหนที่โดนใจเธอมากกว่ากัน

“ฉันไม่ชอบแนวการสอนเอ็นเนียแกรมของบางกลุ่ม ที่ตีตราคนว่าเป็นพวกสุขภาวะดี (healthy) หรือไม่ดี  ฉันคิดว่าเราแม้จะแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนสุขภาวะดีทั้งนั้น”

 ถึงวันนี้นพลักษณ์ก็ยังเป็นเรื่องใหม่มากในเมืองไทย แล้วในอังกฤษล่ะ?

“ก็ยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ แต่ก็เริ่มเป็นอะไรที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก  ฉันเองเป็นคนวงการสื่อสารคนแรกที่นำเอาศาสตร์นี้มาเผยแพร่  นอกจากคนที่ผ่านการอบรมจากเฮเลนแล้ว ก็ยังมีนักบวชบางคนที่อ่านหนังสือเอ็นเนียแกรม 2-3 เล่ม  และก็เปิดสอนเอ็นเนียแกรมเพื่อแบ่งปันความรู้นี้ให้กับคนอื่น  แต่ฉันคิดว่าคนที่จะสอนเอ็นเนียแกรมได้ดีจะต้องผ่านการอบรมมาพอสมควร  เฮเลนมีประสบการณ์การฟังคนลักษณ์ต่างๆมามากกว่า 30 กว่าปี  ฉันเองมีประสบการณ์มา 4-5 ปี  ฉันคิดว่าการมีความลุ่มลึกในความรู้นี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของคนสอนเอ็นเนียแกรม”

วกมาสู่เรื่องใกล้ตัว เธอเล่าถึงผลกระทบของนพลักษณ์ต่อชีวิตของเธอ….

“ฉันบอกกับลูกชายของฉันว่า ฉันได้ค้นพบกับสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเอ็นเนียแกรม และมันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตฉัน ฉันเป็นพี่สาวคนโต และมีน้องสาวอีก 2 คน  คนรองจากฉันนับถือคริสต์  นิกายคาทอลิก  หลังจากแต่งงานกับสามี  น้องสาวคนเล็กเพิ่งเปลี่ยนมานับถือพุทธ  เมื่อคนถามว่าฉันนับถือ(ศาสนา)อะไร ฉันมักตอบว่าฉันเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ด้วยเอ็นเนียแกรม  สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงความรู้ทางจิตวิทยาเท่านั้น  สำหรับฉันแล้วเอ็นเนียแกรมเป็นเรื่องของจิตวิญญาณผสมผสานกับจิตวิทยาอย่างแยกกันไม่ออก  ในเวิร์คชอบเอ็นเนียแกรมที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้  ฉันจุดเทียน 3 แท่งตั้งไว้ตรงกลางที่พวกเรานั่ง เป็นตัวแทนของ  ความรู้สึกที่เป็นอารมณ์  ความคิด และความรู้สึกจากประสาทสัมผัส  เอ็นเนียแกรมเตือนให้เรารู้ว่าเราเป็นอะไรที่มากกว่ามิติ 3 ด้านนั้นถ้าเรามีความรู้ตัว”

เมื่อถูกขอให้ขยายความที่ว่า เอ็นเนียแกรมเป็นเสมือนศาสนาใหม่ของเธอ โจเซฟินสรุปสั้นๆ จากสิ่งทื่เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง

“เอ็นเนียแกรมทำให้ฉันได้เห็นคุณค่าของตัวเองในด้านความมีจริยธรรม  ทำให้ฉันได้รู้ว่าฉันต้องการอะไรในชีวิต ทำให้ฉันเข้าใจตัวเองได้ดีกว่าเดิมอย่างมาก ฉันสามารถยอมรับตัวเองได้มากขึ้น มีความสมดุลย์ในชีวิตมากขึ้น ฉันก็ยังมีความโกรธอยู่บ้างในแบบของลักษณ์หนึ่ง แต่ก็รู้ตัวมากยิ่งขึ้น สังเกตเห็นมันได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่ตลอดเวลาก็ตาม”

 เธอทิ้งท้ายด้วยความประทับใจในอดีตและความหวังในอนาคตที่เธอได้รับจากเอ็นเนียแกรม

“ฉันขอเล่าถึงประสบการณ์ที่ฉันถือว่าเป็นเกียรติอย่างหนึ่งคือ  ฉันได้เข้าร่วมการสัมมนาเอ็นเนียแกรมครั้งหนึ่งที่โตรอนโต  ในแคนาดา  โดยมีเฮเลนเป็นผู้นำการสัมภาษณ์ ในงานนั้นเรามีคนจากศาสนาต่างๆ เช่นท่านแรบบาย นักบวชชาวยิว  ศาสตราจารย์ทางด้านซูฟีของอิสลาม อาจารย์ทางพุทธศาสนา นักบวชคริสต์ นักบวชคาทอลิก  ทุกคนพูดถึงเอ็นเนียแกรมจากแง่มุมของศาสนาของตน  มันทำให้เราเห็นว่าเอ็นเนียแกรมเป็นพื้นฐานร่วมกันของศาสนาต่างๆ  มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าเครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือพิธีกรรมต่างๆ  และเอ็นเนียแกรมก็เป็นพื้นฐานของจิตวิทยาแขนงต่างๆด้วย  พวกเราเชื่อว่าความรู้นี้จะสามารถทำให้เราป้องกันสงครามได้  เพราะมันทำให้เราปรับมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ  ทำให้ผู้คนในโลกนี้หันหน้ามาคุยกันด้วยความเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น  แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ  ฉันเชื่อว่าเอ็นเนียแกรมจะทำให้โลกเรามีสันติสุขขึ้นได้”

เธอจากเราไปด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบจากปิติสุข ของผู้มีศรัทธาในหัวใจ และความหวังในชีวิต…