enneagramthailand.org

มาอบรมครั้งนี้ได้อะไรบ้าง


ช่อผกา : ได้ค่ะ ได้อย่างที่หวัง ก่อนมาก็คลานเข่าไปหาท่านอาจารย์(สันติกโร) แล้วบอกท่านว่าหนู ไม่อยากเป็นครูเถื่อนอีกแล้ว เพราะว่ามันมีกรณีตอนชวนพี่ไปนะแล้วอุ๊ได้ความรู้สึกว่าอุ๊เป็นครูเถื่อน คืออุ๊จัดอบรมนพลักษณ์เองในเสถียรธรรมสถาน คิดกันง่ายๆค่ะว่าเราจัดกันเองเล็กๆในกลุ่มอาสาสมัครที่เสถียรฯ 
อุ๊แค่มาเล่าเรื่องนพลักษณ์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ ฟังคงไม่เป็นไร ระหว่างนั้นมีน้องอีกคนที่เป็นอาสาสมัครชื่อ จอย เขาemailไปให้ท่านอาจารย์ทราบกะกันว่าปรึกษา...ก็เลยความแตก ซึ่งท่านก็ถามมาว่า who is ช่อผกา qualify ไหม อบรมกับใคร ทำไมถึงเป็นวิทยากร เพราะท่านไม่เคยรู้จัก พอตอนหลังท่านก็แนะนำให้เริ่มจากตัวเองก่อน จนวิเคราะห์ตัวเองได้บ้าง แล้วก็แม่นกับการวิเคราะห์ในระดับหนึ่ง จึงค่อยไปสอนเรื่องนี้ (นพลักษณ์) ให้กับคนอื่น ที่จริงก็ไม่ได้อยากสอนคนอื่น แต่เพราะมีงานโครงการต่างๆมากมายที่เสถียรธรรมวางเอาไว้ทุกครั้งที่ทำโครงการคุณแม่ชีศันสนีย์ต้องเชิญคุณหมอจันทร์เพ็ญมา หรือไปเชิญทางทีมนพลักษณ์อาสามาจึงคิดกันว่าเราน่าจะพัฒนาคุณภาพของคนในเสถียรธรรมสถานให้สามารถขยายงานได้เองเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนทั่วไป

 

ก่อนหน้านี้ มาสัมผัสนพลักษณ์ มาสนใจได้ยังไง

ช่อผกา : อุ๊ไม่เคยเสาะแสวงหาอะไร ทุกอย่างมันเข้ามาเอง หลายอย่างในชีวิตไม่เคยเสาะแสวงหา เพราะไอ้ที่แสวงหาไม่ได้ ไอ้ที่ได้ไม่เคยแสวงหาเลยจริงๆนะคะ อย่างเช่นเรื่องนพลักษณ์ ได้มาเพราะอุ๊ไปช่วยทำงานเป็นอาสาสมัครที่เสถียรธรรม ถามว่าอุ๊ตั้งใจที่จะไปเป็นอาสาสมัครที่เสถียรธรรมไหม คำตอบคือ ไม่มีอยู่ในหัว อุ๊เป็นอาสาสมัครเพราะว่าอุ๊ไปปฎิบัติธรรมที่เสถียรธรรมซึ่งก็ไม่ตั้งใจจะไป ที่ไปเพราะว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งเขาจำเป็นจะต้องไป เดาว่าเขาเป็นเบอร์ 4 แล้วเป็นโรคเลือดนะค่ะ แล้วเขาก็ปรึกษาปัญหาชีวิตกับอุ๊อยู่ตลอด อุ๊ก็แนะนำเขาเองว่าอาการอย่างเขานี่จะต้องปฏิบัติ จะต้องควบคุมจิตใจให้ได้ แล้ววิธีที่จะควบคุมจิตใจได้คือฝึกจิต ด้วยการปฏิบัติภาวนา สมาธิ เขาก็ย้อนศรอุ๊เลยนะคะว่า ถ้าอยากให้เขาทำต้องไปเป็นเพื่อนเขา แล้วเขามีอาการป่วยมากนะคะ ถ้าเขา weak กว่านี้เขาก็คงตาย อุ๊จำเป็นต้องมาเป็นเพื่อนเขาก็เลยเข้าวงการธรรมะ แล้วก็ได้ความรู้จากการช่วยงานที่เสถียรธรรม เพราะคุณแม่ศันสนีย์ซึ่งท่านเคยเรียนนพลักษณ์ วันดีคืนดีท่านก็บอกว่าไปเคลียร์คิวมา วันนี้ถึงวันนี้แม่จะเอาคนมาสอนเรื่องนพลักษณ์ นพลักษณ์ก็คือการเรียนรู้ถึงกิเลสของตัวเอง เรียนรู้ถึงที่มาว่าทำไมเราถึงทำอย่างนี้ ตอนที่คุณหมอจันทร์เพ็ญมาจัดให้ อุ๊ติดงานเยอะมากเลย แต่ก็พยายามเคลียร์คิว เที่ยวนั้นก็รู้เลยว่าเออ...มันได้ประโยชน์แล้วหลังจากนั้นก็อ่านหนังสือค้นคว้าด้วยตัวเอง แล้วก็คุยกันกับคนในเสถียรธรรมกับรุ่นที่เรียนด้วยกันเพราะบทสนทนาของคนที่อยูใน เสถียรธรรมสถานคือสนทนาถึงพฤติกรรมของเราที่ไม่ดีค่ะ แล้วก็ช่วยกันมองว่าเหตุของ มันคืออะไร แล้วเราน่าจะช่วยลดละอะไรได้ เพราะถ้าเราค้นเจอสิ่งไม่ดีของเรา แล้วเรา เข้าใจถึงสิ่งไม่ดีของเรา แล้วเรารู้วิธีการทางออกนี่ เราก็จะแชร์กันตลอดอยู่แล้ว แต่พอมีนพลักษณ์ก็เป็นเครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้เราแชร์กันได้ลึกขึ้น

 

ตอนเรียนใหม่อุ๊บอกว่าประทับใจอะไรที่เป็นจุดเริ่ม

ช่อผกา : อุ๊เชื่อว่าในครั้งแรกที่ทุกคนเข้ามาสัมผัสนพลักษณ์ เขาคงมีความคาดหวังหรือคำถามอะไรอยู่ แล้วนพลักษณ์ไปตอบสิ่งนั้น ช่วงที่อุ๊เรียนนพลักษณ์ก็เป็นช่วงที่อุ๊เข้ามาอยู่ในแวดวงของการปฏิบัติธรรมพอดี ทำให้อุ๊มีแนวคิดว่าความรู้ที่สูงสุดในชีวิตมนุษย์ คือ รู้จักชีวิตตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือธรรมะ แล้วอุ๊ก็มองว่าธรรมะไม่ต้องบวช ไม่ได้เป็นรูปแบบ ไม่ใช่เรื่องตึงเครียด ธรรมะก็คือธรรมชาติ คือการกลับมารู้ธรรมชาติของตัวเราเอง ที่ผ่านมาเรามักจะไม่รู้ เพราะเรารู้เรื่องข้างนอกซะเยอะมาก บางคนรู้จนเป็นดอกเตอร์ แต่ถ้าถามว่าเรื่องตัวเองรู้แค่ไหน เรารู้น้อย แล้วเราก็ลืมความรู้ที่เราเคยมีไปหมดแล้ว นพลักษณ์ตอบสิ่งเหล่านี้หมดเลย เพราะนพลักษณ์คือการแจกแจงความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในโลกนี้ออกมาเป็น 9 ประเภท แล้วก็แจกแจงแต่ละประเภทให้เห็นอย่างชัดเจน อุ๊เองศึกษาธรรมะเพราะอุ๊อยากรู้จักธรรมชาติของชีวิตคน ธรรมะสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีทั้งผลดีและผลเสียใด ๆในโลกนี้ที่เกิดมาโดยไม่มีเหตุใช่ไหมคะ ศาสนาพุทธสอนเช่นนั้น หน้าที่ของเราคือค้นหาเหตุและเข้าใจเหตุ เพื่อที่จะยอมรับในผลนั้น หรือถ้าเราอยากจะได้ผลที่ดี เราก็ต้องสร้างเหตุที่ดี นี่คือ concept อยู่แล้ว แล้วอุ๊รับใน concept นี้

พอเราได้เข้ามาเรียนรู้นพลักษณ์ เราจึงรู้ว่าศาสตร์นพลักษณ์นี่จะเป็นการช่วยเราอธิบายให้รู้ว่าเหตุแห่งการกระทำของตัวเรานี่มันมาจากไหน แล้วเหตุที่ว่านี้มันมีแรงจูงใจทับซ้อนกี่ชั้น อย่างไรบ้าง เพราะเรามักจะเห็นผลการกระทำของตัวเรา บางครั้งเราชื่นชมกับการกระทำของเรา หรือบางครั้งเราเจ็บปวดกับการกระทำของเรา ทำดีทำชั่วนั่นละนะ แต่เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงทำดี ทำไมเราถึงทำชั่ว ทำไมเราดีกับคนนี้ ทำไมเราชั่วกับคนโน้น แล้วทำไมสิ่งที่เราทำออกไปจึงถูกคนวัดว่าเป็นความดีหรือความชั่ว นพลักษณ์ตอบได้ว่าเป็นเพราะเราทำจากกิเลสตัวไหนอย่างไร แล้วคนที่เขากำลังวัดค่าเราเขาวัดเราด้วยกิเลสอะไร เวลาคนข้างนอกที่ไม่ใช่คนในวงการธรรมะถามว่า เฮ้ย มันคืออะไรวิชานี่ อุ๊มักตอบเขาว่ามันคือ Enneagram ในเว็บไป search ดูซิ หรือ ถ้าจะพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ มันคือวิชาที่ทำให้เราได้เข้าใจถึงเหตุผล ในการมีสันดานในแบบของเรา แล้วเราก็เชื่อว่าสันดานคือสิ่งที่ขุดไม่ได้ สันดานคืออะไรที่มันเป็นตัวจริง แต่เราไม่รู้เลยนะว่าทำไมเราจึงมีสันดานเช่นนี้ อุ๊รู้สึกว่าศาสตร์นี้อธิบายได้ว่าอะไรคือเหตุที่ทำให้เรามีสันดานเช่นนี้ แล้วสันดานของเรานี่มันมีทั้งสันดานดีและสันดานเสีย เพราะฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ถึงที่มาของสันดานเสียของตัวเราได้ เราก็น่าที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ถูกไหมคะ

คิด basic แค่นี้เราก็รู้แล้วว่ามันเป็นศาสตร์ที่เราควรจะทุ่มเทในการศึกษา แล้วก็จะได้ของแถม คือ เมื่อคุณรู้สันดานเสียและสันดานดี และเริ่มค้นหา แล้วขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติกับตัวเอง เราก็ได้มีโอกาสได้รู้จักคนอื่นด้วย เมื่อเราเข้าใจคนอื่นเราก็มีความสุขกับการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์มากขึ้น แล้วก็ถ้าคิดแบบขี้โกง ก็คือ เราก็เอาความรู้พวกนี้ไปใช้ประโยชน์ในการ deal กับคน ในรูปแบบต่างๆได้เยอะขึ้น ซึ่งดิฉันก็ใช้นะ

 ที่พูดมันเป็นเหมือนภาพกว้างๆของศาสตร์นพลักษณ์ แต่อะไรที่พอเรียนแล้วมันโดนกับตัวตนของเราเต็ม เช่นความเป็นลักษณ์เบอร์ 8 ของเรา (คุณอุ๊บอกเราว่าเธอเป็นลักษณ์ 8) เออ อันนี้ ชั้น…

ช่อผกา : ไม่มีนะคะ มันไม่ใช่ feeling ว่า โดนปุ๊บแล้วโดนใจใช่เลย เพราะว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่อุ๊เจอความรู้สึกที่อยู่ข้างใน มันใช่ไปแล้วตอนเราเจอธรรมะ เพราะว่าพระธรรมจะบอกทุกอย่าง พระพุทธเจ้าเจอความจริงของโลก แล้วท่านเป็นผู้เรียบเรียงมัน เพราะงั้นการที่เราไปเรียนรู้ตามการเรียบเรียงของท่านทำให้เราเข้าใจ แล้วมันโดน เพราะมันคือข้างในของเรา

แต่นพลักษณ์ช่วยเสริมสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดแล้วเรายังมีข้อสงสัยอยู่ เช่นท่านบอกว่าความโกรธเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับลง พอเราเรียนกันไป เราก็ยังสงสัยอยู่ว่าเอ๊ะ แล้วจะดับได้อย่างไร พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า โกรธเพราะเราคาดหวัง โกรธเพราะไม่พอใจ โกรธเพราะไม่ได้ดั่งใจ เพราะเรายึดติด ยึดมั่น ถือมั่น อะไรแล้วแต่ใครจะอธิบาย แต่นพลักษณ์บอกว่าโกรธเพราะเป็นสันดานประจำตัวเรา สันดานในการโกรธของมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะงั้นปริมาณความโกรธของคนในแต่ละเบอร์ ในแต่ละลักษณ์จึงต่างกัน เราก็อ้อ ดิฉันอยู่ในลักษณ์ที่ต้องโกรธพอดีเลย มิน่าละ ดิฉันถึงโกรธไปหมด โกรธมด โกรธแมงอะไรงี้ นี่มันเพิ่มความลึก แต่มันไม่ได้วาบจนตัวชา

 

มีตัวอย่างรูปธรรมไหมที่ว่าในชีวิตจริงของเราเอง นพลักษณ์ไปใช้ตอบอะไรที่บอกว่าเป็นประโยชน์กับเรา ยก case อะไรที่เกิดขึ้นจริง

ช่อผกา : อ้อ ได้ค่ะ มันไม่ได้พลิกชีวิตอุ๊นะคะ แต่ทำให้อุ๊เข้าใจตัวเองมากขึ้น เออ ใช้คำนี้ดีกว่า ช่วงที่เริ่มเรียนนพลักษณ์คือช่วงที่เริ่มทำรายการ "นี่แหละชีวิต" แล้วการทำรายการนี่แหละชีวิตก็คือการเอาคนหนึ่งคนที่มีความทุกข์ มานั่งแยกธาตุว่าเรื่องของเขานี้ อันไหนคือทุกข์ อันไหนคือสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) อันไหนคือมรรค(วิธีออกจากทุกข์) เราก็มีหน้าที่ในการแยกเรื่อง แยกธาตุ วิเคราะห์เรื่องของแขกรับเชิญอยู่แล้ว นพลักษณ์ก็เป็นตัวที่จะมาเสริมให้เรารู้ว่า เออ เหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัยนี่มันเป็นมายังไง
เวลาคนถามอุ๊ก็จะรู้สึกกับตัวเองว่า อ้อ ชีวิตเราทุกคนมันมีมะเร็งอยู่ในตัวหมดเลยนะ มะเร็งในใจเราเนี่ยมีหมดเลย เราทุกคนเป็นมะเร็งหมด อุ๊ก็เป็น แต่อุ๊ไม่รู้หรอกนะว่ามะเร็งที่อุ๊เป็นนี่ เป็นตรงไหน เป็นแค่ไหน ใช่ไหมคะ แต่เรารู้ว่าการรักษามะเร็ง คือ 1 2 3 4 ตามขั้นตอน ถ้าเปรียบเทียบทุกข์ของอุ๊คือมะเร็งใจ การรักษาของอุ๊คือการเดินทางตามที่พระพุทธเจ้าบอกมา แต่ว่ามะเร็งมันก็มีเหตุที่ทำให้เป็นนะคะ นพลักษณ์เป็นเครื่องเมมโมแกรมที่ช่วยเอกซเรย์ มะเร็งของดิฉันฉายแสงวาบออกมาจนเห็นว่ามันหน้าตาเป็นยังไง อยู่ตรงไหน

นพลักษณ์ทำให้อุ๊รู้สึกชัดเจนในการเดินทางเพื่อค้นหาชีวิต เหมือนอุ๊เดินไปแล้ว 5 ก้าว นพลักษณ์เข้ามาในก้าวที่ 6 แล้วทำให้การเดินทางครั้งนี้มีแผนที่ที่ชัดเจนขึ้น นี่คือตัวเองนะคะแล้วพอเราศึกษาจนรู้ว่าเราเป็นลักษณ์ไหน มันช่วยทำให้เราตอบคำถามบางอย่างที่ค้างคาใจได้ เช่น เราเป็นบุคคลสาธารณะ เราก็จะอยู่ในปากของคน เป็นบทสนทนาของคนอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งอุ๊อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ทำไมคนที่อุ๊ไม่เคยรู้จักเขาเลยในชีวิต ไม่เคยทำร้ายอะไรเขาเลย แต่เขากลับไม่ชอบ บางคนนะคะ เหตุผลที่ทำให้เขาไม่ชอบก็คล้ายๆกันค่ะคือ ดูท่าทางมันยโส คิดว่าตัวเองเก่งหรือยังไง หรือบางคนบอกว่า แค่เห็นท่าเดินของดิฉันก็เกลียดแล้ว อะไรงี้คะ ถ้าอุ๊อารมณ์ไม่ดี อุ๊ก็จะนึกในใจว่าเท้าฉันมันกระทืบไปบนพื้น มันเกี่ยวอะไรกับศีรษะคนอื่น นี่คือวีนๆ ตอบ
แต่คิดแบบนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำความเข้าใจคนอื่นเขา พอรู้ลักษณ์เราแล้วเราก็ อ๋อ เพราะเราเป็นลักษณ์ 8 ลักษณ์ 8 มันมีพลังเยอะ แล้วเราก็ชอบที่จะถ่ายทอดพลังออกไปเยอะ บางครั้งเนี่ยการที่เรานั่งอยู่เฉยๆแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พลังในตัวเรามันพุ่งออกไป แล้วอาจจะไปกระทบกระเทือนจิตใจของคนอื่นโดยไม่ได้เจตนา เพียงแค่นี้มันก็ทำร้ายคนแล้ว ท่าเดินของอุ๊มันก็ทำให้แผ่นดินสะเทือนแล้วก็ทำให้คนบางคนรู้สึกไม่ดีกับมันแล้ว เราก็จะเข้าใจตัวเองว่า อันนี้เป็นเพราะอะไร แล้วเราก็ให้อภัยคนอื่นด้วยนะคะว่าทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนั้น ซึ่งแค่เห็นผล basic แค่เนี้ย ชีวิตมันก็มีความหมายขึ้นแล้วนะคะ

 เมื่อรู้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งในชีวิต ใช้นพลักษณ์เป็นเครื่องมือทำอะไรบ้าง

ช่อผกา : ในความคิดของอุ๊นะคะ นพลักษณ์ไม่ใช่หนทางในการพ้นทุกข์ นพลักษณ์เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจความทุกข์ และเข้าใจเหตุแห่งความทุกข์ในชีวิตเรา เพราะฉะนั้นการศึกษานพลักษณ์คือเรียนให้รู้ รู้แล้วตระหนัก แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายอมรับได้ในที่สุด แต่เราจะหลุดออกจากทุกข์ได้เมื่อเราลงมือกระทำ การอ่านหนังสือนพลักษณ์หรือสมัครเป็นสมาชิก เข้าเว็บทุกวัน แต่ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยถอดถอนที่มาแห่งการกระทำไม่น่ารักของตัวเรานี่ เราจะไม่มีวันหลุดจากความทุกข์เลย เพราะงั้นการพ้นทุกข์ก็คือการเดินตามคำสอนของแต่ละศาสนา

 

ต้องถอดถอน หรือลดความเป็นเบอร์ 8 อะไรลงไปบ้างหรือเปล่าคะหลังจากนั้น

ช่อผกา : อุ๊เทียบกับสิ่งที่อุ๊เรียนจากพุทธศาสนานะคะ พุทธศาสนาจะพูดกว้างมากเลยว่าความทุกข์ทั้งหมด มันมาจากการที่เรามีตัวตน แค่นั้นเองง่ายๆ มาจากการที่เรามี Ego แต่เราก็ไม่รู้ว่า Ego ของเราคือตรงไหน คุณแม่ศันสนีย์ก็จะคอยตีหัวว่า แบบนี้ตัวตนเธอหลุดออกมาแล้วนะ Ego เธออกมาอีกแล้วนะ แต่เราก็ไม่เคยรู้ว่า Ego ของเรามันใหญ่แค่ไหน แล้วอะไรทำให้มันเป็นไป พอมาเรียนนพลักษณ์แล้วก็รู้ว่า Ego ของอุ๊ ตัวตนของอุ๊ จะเกิดกับอุ๊เมื่ออุ๊มีลักษณะน่าเกลียดๆ แบบลักษณ์ 8 เต็มสตีม แล้วได้รู้ว่ามันมีแรงขับ เพราะเรามองว่า เฮ้ยโลกนี้มันมีคนดีคนชั่ว แล้วถ้าเราโง่นะเดี๋ยวคนโน้นเขาจะมาตีเรา หรือเวลาเราเห็นคนอื่นเราก็รู้สึกว่าทำไมมันมี คนตัวใหญ่ คนฉลาดกดขี่คนต่ำต้อย ไอ้คนต่ำต้อยที่มันไม่ลุกขึ้นมาสู้ ทำไมมันน่ารำคาญจังเลย ทำไมมันไม่ลุกขึ้นมาสู้ อะไรอย่างนี้ เพราะเราคิดอย่างนี้ไงคะ แล้วเราก็มีความสุข สนุกสนานอย่างโอเว่อร์ อันนี้เป็นลักษณะ เป็นกิเลสในตัวเรา เราทำอะไรก็เว่อร์ตลอด เวลาเล่าก็มันส์ซะ เว่อร์ซะไม่มี เรื่องธรรมดาถ้าอุ๊หยิบมาเล่ามันจะกลายเป็นสีสันคัลเลอร์ฟูล ไอ้ตรงนี้เราคิดว่ามันเป็นข้อดีด้วยซ้ำไป ทำให้ชีวิตเราสนุกสนาน แต่เปล่าเลย นี่คือต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเรามีความทุกข์ เพราะว่าถ้าเราขยาย มีความสามารถพิเศษในการทำให้เว่อร์ เมื่อเราขยายเรื่องนี้จนเป็นความเคยชิน มันก็เป็นนิสัยเรา เรามั่นใจนะ ทำอะไรเราก็มั่นใจ แต่ถ้ามั่นใจไร้สติหล่ะ ก็แบบพินาศสันตโรสิคะ
 

แล้วใช้ธรรมะข้อไหนมาลดความเป็นเบอร์ 8

ช่อผกา : ธรรมะข้อไหนเหรอคะ

 

คือเอาหลักธรรมะอะไร มาเชื่อมโยงกับนพลักษณ์กันยังไง ในการลดความเป็นตัวตนของเบอร์ 8 ที่ออกมา

ช่อผกา : จริงๆแล้วต้องใช้ทุกข้อสลับไป แต่อุ๊ไม่ได้รู้ธรรมะเยอะหรอกค่ะ อุ๊นึกธรรมะอันไหนได้อุ๊ก็ใช้อันนั้นใน moment นั้น

 

ขอสักตัวอย่างหนึ่งไม่ต้องเป็นตัวอย่างใหญ่ก็ได้ แต่เราเกือบจะแสดงความเป็นเบอร์ 8 ออกมาแล้ว แต่ใจเราฉุกคิดถึงธรรมะข้อนี้ทำให้เราคิดได้ว่า เอ๊ย เราหยุด

ช่อผกา : ก่อนอื่นเคลียร์กันนิดดีกว่า อุ๊เคยคิดว่าธรรมะมันเป็นข้อๆ แต่ตอนหลังอุ๊คิดว่าไม่ใช่ อาจจะรู้ผิดก็ได้นะคะ อุ๊รู้สึกว่าธรรมะก็คือธรรมชาติในโลกนี้ คือธรรมชาติในตัวเรา เป็นธรรมชาติฝ่ายดี อะไรก็ตามที่มันกระซิบอยู่ข้างหูเรา คอยยั้งเราไม่ให้ไปในทางชั่ว นั่นก็เป็นธรรมะในตัวเรา เพราะงั้นถามว่าเมื่อเรารู้ว่าเบอร์ 8 ซึ่งชอบอาละวาด ไม่พอใจก็โกรธ โกรธแล้วก็ด่า อย่างนี้ใช่ไหมคะ เวลามีอะไรมากระซิบบอกเรา เช่นพอเราด่าคนไปแล้วเราเสียใจนี่ ไอ้ตรงที่กระซิบนั่นแหละคือธรรมะ

 

แล้วมันกระซิบบอกว่ายังไง

ช่อผกา : มันก็กระซิบว่าไปด่าเขาทำไม หุบปากซะบ้างซิ ใช่ไหมคะ หรือว่าคนบางคนเขาไม่ได้อยากจะฟัง ไม่ต้องไปพูดกับเขาเยอะ ใช่ไหมคะ แล้วก็ที่สำคัญก็คือควบคุมปริมาณการแสดงออกนะ แล้วมันจะไม่มีปัญหา แต่เรื่องที่มันน่าสนใจก็คือว่าไอ้เสียงกระซิบนี่มันมาตอนไหน พี่ยังคาใจอะไรมั๊ยคะ ซักมาเลย


ที่ว่านพลักษณ์ช่วยระบุตัวประเด็นปัญหาของตัวเราได้ชัดเจนขึ้น จนสามารถเอาธรรมะเข้ามากำกับตัวที่เรารู้ว่ามันเป็นปัญหาได้ดีขึ้นนั้น อยากทราบว่าตัวที่มัน เป็นปัญหาหลักของคุณอุ๊นั้นคืออะไร

ช่อผกา : ใช่ค่ะ เดี๋ยวให้อุ๊นึกก่อนนะ อุ๊ยกตัวอย่างได้แล้ว เช่น ศูนย์ท้องมีความโกรธเป็นการแสดงออก ภาษาธรรมบอกว่ามีความโกรธเป็นเจ้าเรือน เห็นไหมคะเราพูดเรื่องเดียวกัน อุ๊มองแม้กระทั่งว่านพลักษณ์แบ่งคนเป็น 3 ศูนย์ ศูนย์ท้อง ศุนย์ใจ ศูนย์หัว ศูนย์ท้องนี่ความโกรธเป็นเจ้าเรือน ศูนย์หัวมีความโลภเป็นเจ้าเรือน ศูนย์ใจมีความหลงเป็นเจ้าเรือน เคยได้ยินคำว่าโลภ โกรธ หลง ใช่ไหมคะในทางธรรม (ฮะ ได้ยิน) มันก็เรื่องเดียวกัน

แต่ว่าโลภ โกรธ หลง ที่เราท่องมา เราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่อันนี้ (นพลักษณ์) บอกเพิ่มว่าโลภ บางคนโลภมาก เพราะว่าอยู่ในศูนย์หัว คิดมาก จึงคิดแล้วก็อยากได้เยอะ ส่วนศูนย์ท้องก็คือความโกรธ อุ๊อยู่ศูนย์ท้อง อุ๊โกรธเพราะอุ๊มีพลังเยอะ อุ๊แสดงออกมา แล้วถ้าการแสดงพลังออกมามันถูกขัดขวาง มันก็โกรธมากก็แค่นั้นเอง อุ๊เคย เขาเรียกอะไรนะ ฝึกฝนตัวเองในเรื่องของการกำจัดความโกรธ คุณแม่ศันสนีย์สอนว่าให้ดูลมหายใจ เพราะว่าไม่เคยมีอารมณ์ของคนใดในโลกนี้เลย ที่เกิดขึ้นโดยที่ลมหายใจไม่เปลี่ยน แล้วมันก็มีเกมส์จับลมหายใจ ในทางพุทธก็คืออานาปานสติ เราทำสมาธิ อยู่กับลมหายใจ และถ้าจะให้ดีต้องทำตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน

เวลาเราชอบอะไรมากๆ ดิฉันเดินชอปปิ้งเอ็มโพเรียม เจอกระเป๋าหลุยส์ ว้าว..ตื่นเต้น ลมหายใจก็จะถี่ขึ้น แรงขึ้น สักพักหนึ่ง กำลังจะซื้อปุ๊บ มีอีนังญี่ปุ่นคนหนึ่งมากระชากไป โกรธมัน เวลาโกรธปุ๊บ ลมหายใจก็จะถี่รัวขึ้น ถูกไหมคะ ในขณะเดียวกันถ้าเกิดเรากลับบ้านไป บอกแฟนว่าเราซื้อกระเป๋ามาพี่ช่วยจ่ายตังค์ให้หน่อย แล้วพี่ไม่ยอมจ่ายตังค์ให้ เราก็เสียใจ ร้องให้ ลมหายใจเราก็จะแบบกระชาก กระตุก จังหวะการหายใจมันเปลี่ยน รู้สึกได้ ลองซ้อมดูสิคะว่าถ้าเราโกรธเราหายใจยังไงหรือเราเสียใจเราหายใจยังไง 
เพราะฉะนั้นพออุ๊เริ่มสัมผัสว่าลมหายใจที่เปลี่ยนในขณะที่เรารู้สึกนี่มันเป็นอย่างไร สวนทางเลย ถ้าเรารู้สึกสิ่งนั้นขึ้น แล้วเราจะดับความรู้สึกนั้นก็คือการเปลี่ยนลมหายใจ เวลาดิฉันโกรธ ดิฉันก็จะหายใจเข้ารุนแรงหายใจออกรุนแรง "ฟืด" พร้อมกับมีคำอยู่ในหัวด้วยใช่ไหมคะ หายใจเข้า "มึง" หายใจออก "ตาย" ถ้าโกรธมากนะ "มึงตาย" เพราะงั้นแทนที่เราจะปล่อยให้ลมหายใจถี่หอบอย่างนั้น เราดึงลมหายใจบริสุทธิ์ เย็นๆยาวๆเข้าท้อง แล้วก็หายใจออก พอลมหายใจเรามันเปลี่ยนแล้วนี่อารมณ์มันเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ เป็นไปไม่ได้เลยที่ เอ๊ะ เวลาเราโกรธเราหายใจถี่เนาะ แกจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ถ้าเราหายใจยาวขึ้น ความโกรธมันจะลดลง นี่คือวิทยาศาสตร์ ที่ผ่านมาเวลาอุ๊จับได้ว่าอุ๊โกรธ จับตัวเองได้ว่าโกรธปุ๊บจะดึงลมหายใจช่วย แต่คำถามคือ มีกี่ครั้งนะที่เราจับได้ว่าเราโกรธ มีกี่ครั้งที่เรากดปุ่ม order ให้เราเปลี่ยนลมหายใจ อันนี้ก็คือสติ

การที่เรามีสติเราก็จะใช้ตรงนี้เป็นเครื่องมือในการจับตัวเราเองก่อนที่เราจะทำอะไรไม่ดีไม่งามออกไป หรือเมื่อทำไปแล้วก็จับมาได้ไวขึ้น กลับมาเรื่องความโกรธ สติอุ๊นะดีขึ้นเยอะเลยค่ะ สมัยก่อนอุ๊ด่าไปแล้ว 3 วัน อุ๊ถึงจะรู้ว่าอุ๊ด่ามัน เพราะมันสะใจ มัวแต่หนุกหนานกับการได้ด่า หรือว่าไม่เข้าใจ เขาเสียใจตรงไหนเหรอ ไม่เห็นจะต้องเสียใจเลย แล้วก็บางครั้งเนี่ย พอด่าไปแล้วก็มาทบทวนเราด่าเขาแรงไปหรือเปล่า เราเสียใจกับที่เราด่าเขานี่ 3 วัน แต่เดี๋ยวนี้เนี่ยด่าปุ๊บเสียใจเลย ก็เห็นผลว่าการที่เราฝึกสติ ฝึกสมาธิ มันทำให้เราจับตัวเราเองได้ไวขึ้น แต่ก็ยังเสียใจอยู่ ที่แบบทำไมมันไม่ตะครุบก่อนที่จะอ้าปากนะ เราจะได้ไม่ต้องด่าเขา กรณีที่เราโกรธ

 

แล้วพอเรามารู้เรื่องนพลักษณ์นี่ว่าเราอยู่ในลักษณ์ที่ค่อนข้างจะเกี่ยวพันกับความโกรธนี่ ยิ่งค่อนข้างทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง จับตัวเองได้ชัดขึ้น แค่ไหนคะ

ช่อผกา : อย่างที่บอก คืออุ๊มองว่ามันเป็นแผนที่นะคะ เราอ่านแผนที่แล้วเรารู้ว่าตัวเราอยู่ตรงไหนของแผนที่นั้น เราจะไม่หลงอีกแล้ว มันมีทิศให้เดินอยู่ 360 องศา ดิฉันก็ focus ตัวเองไปทางทิศที่นพลักษณ์บอก ไม่ต้องหลงไปเหนือไปใต้อีก มันเข้าเป้าทันทีค่ะ
แล้วการเชื่อในนพลักษณ์ทำให้รู้ว่าวงจรจิตของเรามันเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมานี่ มันไม่ผิดไปจากตรงนี้เลย ภาษาพระบอกว่ามีทิฎฐิ ไอ้สิ่งที่เรากระทำมันมาจากความคิดของเรา ทิฎฐิคือความเห็นของเรา ถ้าเป็นทิฎฐิที่ชอบ เป็นความเห็นที่ถูกต้องก็เป็นสัมมาทิฎฐิ แต่ว่าถ้าเป็นความเห็นที่ผิดมันก็เป็นมิจฉาทิฎฐิ 
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความที่เราเป็นคนลักษณ์ 8 นี่ มันเกิดจากมิจฉาทิฐิของเราที่มองว่าโลกนี้มีคนที่จะจ้องทำร้ายเรานะ ใช่ไหมคะ มันจึงพัฒนามาเป็นกิเลสที่ทำให้เรารู้สึกว่า ฉันจะต้องทำสุดๆ ฉันจะต้องได้มา ฉันจะต้องไม่เสียไป ฉันจะต้องปกป้อง ฉันจะต้องเข้มแข็ง ฉันจะต้องไม่อ่อนแอ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวมันจะมาทำร้ายเรา หรือเดี๋ยวจะมีการทำร้ายกับคนที่เรารัก ทั้งหมดนี่มันเป็นมิจฉาทิฐิ มันจึงทำให้เรามีมิจฉาวาจา พูดอะไรที่มันไม่น่าฟังออกไป ใช่ไหมคะ แล้วก็เป็นการกระทำที่ผิดในที่สุด ก็เรื่องเดียวกัน แต่วิธีการอธิบายๆไม่เหมือนกัน อุ๊อยากจะเชื่อมโยงให้เห็นอีกนิดหนึ่งว่าเรื่องนี้มันเป็นธรรมชาติเดียวกันที่อยู่ในโลกนี้ อุ๊ไปเรียนดำน้ำ แล้วก็หายใจใต้น้ำ แล้วปิ๊งขึ้นมาว่า เฮ้ย นี่มันสมาธินี่หว่า นี่มันอานาปานสติ แต่เป็นอานาปานสติท่ามกลางปะการังและปลานีโม่ เพราะว่าเวลาที่เราอยู่ใต้ทะเล เขามีกฎนะคะ กฎของการดำน้ำ คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามคุณต้อง continue การหายใจให้เป็นปกติ เพราะถ้าคุณหายใจผิดปกติปุ๊บนี่มันจะเป็นอันตราย คือ เราทรงตัวอยู่ใต้น้ำได้ด้วยลมหายใจเข้าและออกของเราที่มันสมดุล ถ้าเราหายใจเข้าสั้นหายใจออกยาว ตัวเราก็จะจม หายใจเข้ายาวหายใจออกสั้นตัวเราก็จะลอย แต่ถ้าเราหายใจฟืดฟาดๆนี่ตัวเราก็จะดิ้นพราดๆ แล้วเราก็จะทะลึ่งพรวดขึ้นไปข้างบนผิวน้ำ ปอดฉีกตายนะคะ มันเป็นอันตรายที่แฝงอยู่เมื่อเราหายใจผิด 
เพราะงั้นเมื่อเรามีอารมณ์ผิดปกติตอนอยู่ใต้น้ำ การหายใจผ่านท่ออากาศโดยการดำน้ำ

มันคือเครื่องมอนิเตอร์ที่จะให้คะแนนเราเลยว่า จริงๆแล้วนี่เราสอบผ่านหรือยังในการ control ชีวิตเรา คือ control อารมณ์เรานั่นเอง ถ้าเราเห็นปลาปักเป้าหรือฉลามพุ่งเข้ามาแล้วเราตื่นเต้นจนควบคุมความตื่นเต้นไม่ได้ เราก็จะหายใจถี่หอบรุนแรง แล้วมือไม้ก็กวัดแกว่ง ใช่ไหมคะ ดีไม่ดีสายอากาศก็หลุดออกจากปาก ก็ตายเพราะความกลัวนั่นแหละ อุ๊รู้สึกเลยว่าเราฝึกอยู่ในวัด อยู่บนบกนี่ เราก็เออเดี๋ยวโกรธแล้วดึงลมหายใจเข้า เดี๋ยวกลัวแล้วดึงลมหายใจเข้า แต่เราไม่เคยรู้นะว่าถ้าเราดึงลมหายใจเข้าไม่ทันแล้วเนี่ย เราตัดความโกรธไม่ทันมันเกิดผลเสียอะไรในชีวิตเรา การไปอยู่ใต้น้ำทำให้อุ๊ได้สำเหนียกเลยคะว่าถ้าทำใต้น้ำไม่ได้ ก็แปลว่าที่ผ่านมาก็ทำบนบกไม่ได้นั่นแหละ แล้วอุ๊ก็เลยค้นพบ แบบปิ๊งขึ้นมาว่ามันเรื่องเดียวกันจริงๆ เรื่องของชีวิตคือเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของลมหายใจ อยู่ที่ว่าใครจะอธิบายแบบไหน เพราะงั้นนพลักษณ์กับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นเรื่องเดียวกัน นพลักษณ์พูดถึงเรื่องบางส่วนที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ทั้งหมด จึงขอยืนยันว่านพลักษณ์เป็นแผนที่ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตเรา และเข้าใจที่มาของความทุกข์ในชีวิตเราได้ชัดเจนที่สุด แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่จะทำให้เราพ้นทุกข์

 

แล้วเทียบตอนโน้นที่เราได้รู้จักนพลักษณ์มาในระดับหนึ่ง จนได้รู้จักว่าเราเป็นคนลักษณ์ 8 แล้วพอมาถึงตรงนี้ที่เริ่มลงไปลึกขึ้นนะคะ ได้ไปเห็นกลไกป้องกันตัว เห็นอะไรต่ออะไร อุ๊ได้เห็น หรือคลิ๊กอะไรกับมันมากขึ้น แค่ไหน

ช่อผกา : โห มัน amazing สุดๆ แหม พูดแบบเบอร์ 8 amazing สุดๆ ค่ะคุณผู้ชมขา มันแบบไม่รู้จะพูดยังไงเลย คือ เห็นภาพตัวเองที่ชัดมาก เป็นภาพขั้นตอนนะ เป็นแบบสมมุติว่าวงจรการเกิดทุกข์ที่มีเหตุของเราเป็นแผนที่ที่มีเครือข่ายใยแมงมุมโยงใยอยู่เบื้องหลัง เราไม่มีวันเห็นเลยนะว่าเส้นไหนมันสัมพันธ์กับเส้นไหน แต่การเรียนนพลักษณ์จนมองเข้าไปแล้วลึกขึ้น แล้วจับความรู้ที่ได้ในด้านลึกนั่นนะเข้ามาทาบอยู่กับตัวเราเองนี่ จะเห็นเลยไอ้เครือข่ายใยแมงมุมเน่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชีวิตเรานี่มีเส้นไหนบ้าง แล้วถ้าเราอยากจะหลุดจากความทุกข์ ต้องปลดเส้นไหน แต่ความยากที่สุดคือต่อให้รู้ว่าเส้นไหนต้องปลดมัน เราก็ไม่มีกำลังของจิตเพียงพอที่จะปลดมัน เราจึงต้องปฏิบัติภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กำลังของจิตเข้มแข็งเพียงพอที่จะกระชากเส้นเหล่านั้นออกค่ะ

 

เคยมีคน 8 อยู่คน เขาก็มีพูดถึงว่าเข้ามาปฏิบัติธรรม เขามาปฏิบัติธรรม แล้วก็รู้สึกว่า เออ มันเยือกเย็นลง แต่ยังมีบางเรื่องที่เขารู้สึกว่าคุมกับมันไม่ได้ ซึ่งตรงนี้นะไม่ทราบว่าคุณอุ๊จะมีลักษณะประสบการณ์ตรงนี้ ที่จะทำให้พอมารู้นพลักษณ์ว่าบางเรื่องที่เราทนไม่ได้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรม หรือเรื่องอะไรบางเรื่อง คุณอุ๊มีประสบการณ์ในลักษณะที่ทำให้เรารู้สึกเยือกเย็นลง soft ลงบ้างไหมคะ

ช่อผกา : ได้ค่ะ เอาเรื่องที่ทำงานละกัน ตอนนี้อุ๊ทำงานเป็น GM อยู่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของบริษัทสยามแฟมิลี่มาร์ท ทำธุรกิจค้าปลีกแบบร้านสะดวกซื้อ ซึ่งต้องดูแลสาขากว่า 300 สาขา แล้วอุ๊เข้าไปกับทีมบริหารชุดใหม่เมื่อต้นปีที่แล้ว วันนั้นอุ๊จัดประชุมใหญ่ เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคุยเรื่องการแก้ปัญหา เช้าวันนั้นมีเด็กทีมงานแผนกอื่นโทรเข้ามือถืออุ๊แต่เช้าอย่างไม่เกรงใจ เด็กคนนี้ถ้าเทียบตามลำดับชั้นการบริหารแล้ว เขาอยู่ต่ำกว่าอุ๊หลายขั้นมาก เขาพูดกับอุ๊ทางโทรศัพท์ว่า วันนี้เขาจะไม่มาทำงานนะ เขาจะไม่เข้าประชุมด้วย แต่เขาจะเอาปลั๊กไฟ แล้วก็สั่งให้ดิฉันไปติดปลั๊กไฟให้เขาด้วยที่ร้านสาขา อุ๊ก็ด่าเลยนะว่า ฉันเป็น GM นะยะเธอเป็นใคร สั่งปลั๊กไฟฉันทางมือถือ แต่พอพูดไปแล้วอุ๊ก็เห็นตัวตนเราเลย Egoออกเลยค่ะ คล้ายๆอุ๊จะบอกเขาว่า ไม่เห็นเหรอว่าฉันมีอำนาจ ฉันเป็นใหญ่กว่าเธอ เธอเป็นใคร เธอเล็กกว่าฉัน นี่มันก็เออ..ประโยคแบบนี้นี่มันพ่นตัวตนของเราออกมา

 

แล้วมันโยงกับความเป็นลักษณ์ 8 ของเราตรงไหนคะ

ช่อผกา : เอ้า คุณมาล่วงล้ำอาณาจักรชั้น คุณจะมาหือเหรอ คุณจะมาใหญ่กว่าชั้นเหรอ คุณมันตัวเล็กคุณมาสั่งชั้นได้ยังไง ก็โกรธเขา ถ้าอธิบายแบบนพลักษณ์แล้วอุ๊ผิดนะ คือ อุ๊ไปว่าเขา เพราะอุ๊ตัวตนเยอะ อุ๊หวงพื้นที่ อุ๊ไม่อนุญาต อุ๊ไม่ให้โอกาสผู้ด้อยโอกาส นี่เป็นความผิดของอุ๊ แต่ถ้าอธิบายตามหลักการบริหารเขาผิดนะคะ เพราะเขาไม่เคารพลำดับชั้นของการปฏิบัติงาน ก็แล้วแต่ว่าเราจะมองเรื่องอะไร แต่ว่านพลักษณ์ช่วยให้อุ๊ไม่มีความแค้นกับไอ้น้องคนนี้ อุ๊ก็เลือกที่จะจัดการเขาใน 2 เรื่อง คือ เรื่องส่วนตัวเรื่องความรู้สึก อุ๊จัดการกับเขาโดยนพลักษณ์ คือเข้าใจว่ามันเป็นกิเลสเรา ที่ตัวตนพุ่งออกมา แล้วเราก็ไม่ควรที่จะไปแค้นเคืองอะไรเขา ช่อผกา :ก็ให้อภัยเขา ก็จบ ถ้าช่อผกา :ไม่ใช้นพลักษณ์ ช่อผกา :จะตามเลยว่าไอ้นี่มันชื่ออะไร นั่งอยู่โต๊ะไหน มันทำงานอะไรผิดบ้าง เมื่อไหร่จะไล่มันออก นี่คือตัวตนของเบอร์ 8 แต่ว่าในการปฏิบัติงาน ในเรื่องของการบริหาร เราก็ต้องแจ้งให้หัวหน้าเขาทราบ แล้วก็บอกว่าให้ monitor คนนี้ คนนี้ข้อเสียคือไม่มีศิลปในการใช้ภาษา เพราะงั้นก็ให้ train เขาเพิ่มเรื่องการใช้ภาษา เห็นไหมคะว่าเรื่องการแก้ปัญหามีหลายชั้น ตัวปัญหาเป็นเรื่องข้างนอกก็แก้โดยศาสตร์ต่างๆที่เราร่ำเรียนกันมา แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกๆข้างในคือความรู้สึกของเรา มันต้องแก้ด้วยทางธรรมนะคะ แล้วนพลักษณ์ก็เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราเข้าใจปัญหานี้ได้อย่างลึกซึ้งจึงอโหสิได้ การให้อภัยต้องให้จากจิตของเราค่ะ

 

เป็นรูปธรรมที่ชัด

ช่อผกา : ขอบคุณค่ะ พี่รู้มั้ยเดี๋ยวนี้กลายเป็นนิสัยเลย เวลาเจอใคร ได้ยินคนพูดอะไรก็จะ scan ไอ้นี่มันน่าจะเบอร์อะไรวะ พอเรา scan ถูกไม่ถูกไม่รู้ แต่อุ๊ไม่บอกเขานะคะ เพราะผิดจรรยาบรรณ เราก็จะเดาว่าเราน่าจะมีวิธีการสื่อสารยังไงกับเขา เช่น วันดีคืนดีมีลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาวีนแตก ร้านฉันไม่มีคนมาดูแล บริษัทห่วย ฉันจะมาหา CEO ฉันจะพาม็อบเข้ามา 10 คน อะไรอย่างนี้ ซึ่งคนใน office บอกว่าจะต้องไม่ให้เขามา แต่อุ๊ซึ่งเป็นคนดูแล ลูกค้ากลุ่มนี้โดยอ้อมแล้วพึ่งมารับตำแหน่งใหม่ อุ๊บอกไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง เอาเบอร์โทรศัพท์มาอุ๊โทรหาเขา เขาตกใจมากที่อุ๊โทรหาเขา อุ๊ก็บอกเขาว่าอุ๊ขอบคุณที่เขาตั้งใจทำงาน เวลคัมจะมาวันไหน อุ๊เปิดบุ๊คนัดเลย อุ๊คิดว่าเขาเป็นศูนย์ท้องเหมือนอุ๊ เขาต้องการความชัดเจน และเขาเกลียดการหลบเลี่ยง ไม่ว่าปัญหานั้นจะถูกแก้ไขหรือไม่ก็ตาม แต่การที่มีใครซักคน ลุกขึ้นมาพยายามแก้ไข แค่นี้ปัญหาของเขาก็เบาลงแล้ว

 

ในเหตุการณ์นั้นเอาเรื่องนพลักษณ์เข้าไป

ช่อผกา : เป็นวิธีคิดของอุ๊นะคะ อุ๊เอานพลักษณ์มา scan เลย อีเจ๊นี่ศูนย์ท้องแน่นอนเลย เบอร์อะไรไม่รู้ แต่วิธีพูดทางโทรศัพท์ วิธีการ approach เขานี่ การปะทะออกมานี่เป็นศูนย์ท้อง อุ๊คิดนะ หรืออาจจะเป็นศูนย์หัวเป็นเบอร์ 6 แบบออกมาลุยหรืออะไรก็ไม่รู้สิ แต่ว่ามันเป็นภาวะของคนที่พุ่งออกมา เมื่อคนพุ่งออกมาแล้ว จะพุ่งด้วยความกลัว ด้วยความสะใจ หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ต้องได้รับการตอบสนองในวิธีการอย่างนี้ แล้วก็เรียนรู้วิธีการที่จะใช้คำพูด แล้วอุ๊ก็มาพบว่าการเลือกใช้ภาษากับเบอร์ต่างๆนี่ มันต่างกันใน detail นะคะ แต่มันเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือการอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าเราต้องการผลสัมฤทธิ์ของการขอร้อง มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยถ้าเราใช้ความเป็นตัวตนของลักษณ์เราในการพูดกับเขา 
หน้าที่ของอุ๊คือกลับไปเข้าห้องน้ำหายใจเข้าหายใจออก 5 นาที ก่อนเดินออกมาเจรจา ขอชี้แจงค่ะบริษัทอยู่ในภาวะอย่างนี้ แต่ไม่เป็นไรคะ พี่มาแล้วขอบพระคุณที่สละเวลาทำมาหากินของพี่มาชี้แจงปัญหาความสามารถที่ไม่ดีของเรา เพราะงั้นพี่พบอะไรพี่บอกอุ๊นะ พี่ก็โซโล่ไปเลยชั่วโมงครึ่ง จบแหลกราญอุ๊จะพยายามทำค่ะ อุ๊ยขอบคุณคุณอุ๊ กลับบ้านไปอีก 2 วันโทรมาร้องไห้ ขอบคุณคุณอุ๊มากๆ เวอร์ขนาดนั้นเชียวหรือ(วะ) แต่ก็ดีค่ะ ก็เห็นว่าพอเราเอาไปใช้ เราเข้าใจคน เราจึงมีโอกาสเลือกใช้ภาษาในการสื่อสาร เพื่อช่วยให้ทั้งเขาและเรามีความสุขหรืออย่างน้อยก็ทุกข์น้อยลง แต่ในขณะเดียวกันยิ่งถ้าเราได้เข้าใจเขาลึกซึ้งมากขึ้น เราจะรู้เลยนะว่าเราจะหลบเลี่ยงตรงไหน ที่จะไม่ไปแตะต้องจุดอ่อนของเขา อย่างมีลูกค้าบางคนมาขอซื้อสินค้าบางตัวที่เราพัฒนายังไม่จบ อุ๊ไม่ยอมขาย แต่เขาบอกว่าของจะยังไม่ดีก็ได้แต่เขาต้องซื้อเพราะว่าเขาประกาศไปหมดแล้ว คนรู้หมดแล้ว ไอ้นี่ เบอร์ 3 แน่เลย รักษาหน้ามาก เอาไปแล้วจะเจ๊งหรือเปล่ายังไม่รู้เลยแต่เขายังจะเอา อุ๊เลยไปบอกลูกน้องอุ๊ว่าถ้าจะ approach เขา ก็จะต้องบอกเขาว่ายังไงซะถ้าเราทำตรงนี้เสร็จเราติดต่อเขาแน่ แล้วก็เราเห็นคุณค่าว่าเขาเป็นคนที่มีศักยภาพ มีความสามารถ เราไม่ได้ปฏิเสธเขาที่ตัวเขา แต่เราปฏิเสธเขาเพราะว่าเราอยู่ในจังหวะที่ไม่พร้อม เคลียร์ความรู้สึกเขาไงคะ ให้เขาเข้าใจว่าเขาไม่ได้ถูกปฏิเสธ มันไม่ใช่เรื่องความไม่ดีไม่เก่งของตัวเขา ใช้นพลักษณ์ในการทำธุรกิจดีจังค่ะ ทำให้ผู้ร่วมธุรกิจของเรามีความสุขในการทำงานร่วมกับเราได้ 
อุ๊ถือว่านี่หล่ะคือการใช้ธรรมะในการทำงาน ผู้บริหารในแวดวงธุรกิจคือคนที่จะสร้างหรือ กระจายความทุกข์ความสุขให้คนได้เยอะมาก เพราะงั้นหน้าที่เราคือหาวิธีใช้มัน อุ๊ใช้กับเพื่อนร่วมงาน ใช้กับเจ้านายค่ะ เด็ดมาก ใช้กับหัวหน้าอุ๊ ไม่รู้ว่าเป็น 7 หรือเป็น 8 รู้แต่ว่าเป็นพวกลืมตัวเอง แล้วก็ติสก์แตกสุดฤทธิ์ เพราะงั้นเวลาที่เขาติสก์แตกนี่เรารู้แล้วว่าเราจะดึงเขากลับมายังไง ตอนไหนเราควรจะปล่อย ตอนไหนเราควรจะดึง ประโยคไหนควรพูด ถ้าเขาอารมณ์ดีเปิดใจกว้าง ช่วงที่เราชนเบียร์กันก็จะบอกเขา พี่ดีทุกอย่างเลยนะ พี่ฉลาดไปหมด พี่รู้ทุกเรื่องเลย แต่พี่ไม่รู้จักตัวพี่เอง เขาก็หันมาตาเหลือก แกเป็นคนแรกที่พูดคำนี้กับชั้น ชั้นไม่เคยรู้เลย อุ๊ก็ใส่ต่อเลย พี่รู้จักเวล่ำเวลาดีมากเลย พี่มีแผนอนาคตดีที่สุด พี่ไม่เคยลืมอดีต แต่พี่ไม่มีปัจจุบัน เขาก็ด่าด้วยความปลื้ม...อีนี่พูดแต่ละอย่าง อุ๊ไม่ได้เก่งนะ อุ๊เพียงจำสิ่งเหล่านี้มาจากการเรียนรู้ เป็นไงคะ

 

ประเด็นการเอานพลักษณ์ไปใช้กับผู้อื่นนี้เป็นเรื่องดาบสองคม ที่คุณอุ๊พูดมานี้คือการใช้มันในเชิงบวกด้วยเจตนาดีที่เป็นกุศล แต่หากเอามันไปใช้ในทางอกุศล เพื่อการควบคุม manipulate ผู้อื่น นพลักษณ์ก็อาจให้โทษได้ด้วยใช่ไหม อยากจะช่วยให้แง่คิดในเรื่องนี้กับคนทั่วไปเป็นการปิดท้าย

ช่อผกา : ค่ะ คุณธรรม จรรยาบรรณ ก็ต้องถามว่าคุณมี concept ในการใช้ชีวิตเหมือนอุ๊หรือเปล่า ชีวิตเกิดมาเพื่อจะมีความสุขให้มากกว่าความทุกข์นะ คือ เกิดมาเพื่อใช้กรรมนะมันชัวร์อยู่แล้ว แต่จะใช้กรรมดีหรือกรรมชั่ว คือ ถ้าคิดว่า ชีวิตที่เกิดมาอยากจะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ต้องศึกษาตัวเอง นพลักษณ์เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราได้สิ่งนั้นแน่นอน แล้วก็ย้ำว่าเมื่อเราได้เข้าใจตัวเราแล้ว เราจะหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ดีๆในตัวเราได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะก้าวร้าวไปไหมถ้าจะบอกว่าศึกษานพลักษณ์อย่างเดียวก็ไม่พ้นจากนรกนะคะ อาจเห็นวิธีปีนขึ้นจากกระทะทองแดง แต่ว่าก็ไม่พ้นนรกอยู่ดี
แล้วเมื่อเรารู้แล้วนี่ เราเอาไปใช้ในทางที่ผิด เราก็จะได้เอาเปรียบคนมากขึ้น อันนี้มันอยู่ที่คนว่ามีสำนึกแค่ไหน แต่ถ้าเรายอมรับว่าความสุข ความทุกข์ โอกาสดีโอกาสชั่วที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานี่ มันเป็นเพราะเรามีกรรมมา เป็นการกระทำในอดีต ในชาตินี้หรือเมื่อวานนี้นะคะ ก็ต้องรู้ว่าถ้าเราใช้นพลักษณ์ในทางที่ผิด ไปเอาเปรียบคนอื่น เรากำลังสร้างกรรมชั่ว แล้วผลของกรรมนั้นมันจะตกทอดสู่ตัวเราเอง สักวันหนึ่งเราก็จะโดนจี้จุดอ่อนของเรา แล้วก็ต้องดิ้นพราดๆทุกข์ทรมานกับการถูกจี้ ถ้ารู้เช่นนี้แล้วเราก็จะไม่ทำ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตรงนี้ทุกคนจะต้องเชื่อ แค่ฝากว่าถ้าเรามีความเชื่อเรื่องกรรม เราก็จะยับยั้งการกระทำบางอย่างของเราได้ เราก็จะมีชีวิตที่งดงามขึ้นได้ ก็แล้วแต่ concept ในชีวิตแต่ละคนค่ะ