enneagramthailand.org

รู้จักเรื่องของนพลักษณ์ได้อย่างไร

หลายปีที่แล้วท่านอาจารย์สันติกโรภิกขุมาพูดเรื่องของนพลักษณ์ที่เสถียรธรรมสถาน ดิฉันเป็นอาสาสมัครที่นั่น มาช่วยเขียนข่าวประชาสัมพันธ์  จึงได้รู้จักเรื่องของนพลักษณ์ในครั้งนั้น

ในช่วงนั้นดิฉันมีปัญหาหลายเรื่องในชีวิต มีปัญหากับคนที่ทำงานด้วย มีปัญหากับคนในครอบครัวเดียวกัน มีปัญหากับเพื่อน ในที่สุดถึงขั้นที่ต้องใช้ความพยายามเพื่ออยู่กับคนรอบข้างให้ได้  ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งแม้เพียงนิดเดียวดิฉันจะเดินออกมาจากเหตุการณ์ตรงนั้นเลย ไม่มีความอดทน  เพื่อนเริ่มน้อยลงเพราะเพื่อนจะไม่ค่อยอดทนกับเรา ที่สำคัญงานก็เริ่มแย่ลงเพราะเราเดินหนีปัญหา  กลายเป็นคนไม่สู้ปัญหา และหันหลังให้เหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้น ดิฉันจึงคิดว่าน่าจะต้องมาพักค้างอยู่เสถียรธรรมให้มากขึ้นเพื่อภาวนา  พอดีที่นี่มีอบรมนพลักษณ์ ได้พบอาจารย์หมอจันทร์เพ็ญ  ชูประภาวรรณ ท่านเป็นคนที่ดิฉันนับถือมาก และครั้งนี้ได้สัมผัสบางอย่างว่าท่านเปลี่ยนไป เป็นมิตรมากขึ้น ไม่ค่อยดุ จึงคิดว่าจะมาฟังเพื่อเขียนข่าวให้เช่นครั้งก่อน  เมื่อมานั่งฟังจริงๆ สิ่งที่ได้มันมากกว่าการเขียนข่าว  ผ่านไปครึ่งวันก็รู้ว่าศาสตร์นี้จะช่วยเราได้ เรียนอาจารย์หมอจันทร์เพ็ญว่า พบนพลักษณ์ในช่วงที่เข้าตาจน ทุกอย่างมาอยู่ในจุดที่ไม่ดีหมด ทำไม..ทำไม..  ท่านก็ยิ้มค่ะ

 เมื่ออบรมกับคุณหมอจันทร์เพ็ญทราบลักษณ์เลยหรือเปล่า

ชัดเจนมากนะคะ ดิฉันไม่ได้อยากเป็นคนในลักษณ์ 4  เพราะคิดว่าไร้สาระ เป็นคนโศกเศร้าไม่มีสาเหตุ พูดกับใครเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นการทราบว่าเป็นคนลักษณ์ไหนแล้วพบคำอธิบายที่ตรงมากทำให้เริ่มเข้าใจตัวเอง เริ่มเข้าใจแล้วว่างานทำไมไม่ดี เพราะว่าเวลาที่อ่อนแอ ดิฉันจะยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง  จะทำร้ายคนที่รักมาก จะหนีปัญหาและรู้สึกว่าไม่มีใคร  พอเห็นว่าเริ่มจะได้คำอธิบายของตัวเอง  ทันทีทันใด เหมือนเปิดหน้าต่างบานอื่นๆๆๆ  อาจารย์หมอบอกว่าคำตอบมันอยู่ตรงนี้เอง

ทีนี้เราก็เริ่มย้อนมองเหตุการณ์  อ้อ...เข้าใจแล้วทำไมเพื่อนคนนั้นถึงได้โกรธเราเป็นวรรคเป็นเวร  ทำไมงานนั้นเราจึงปล่อยให้มันหลุดไปโดยที่ไม่มีสาเหตุ  ทำไมคนที่เรารักต้องทนทุกข์ทรมานกับเราขนาดนี้ ทุกอย่างมีคำตอบ

แสดงว่านพลักษณ์ทำให้เราได้เห็นอะไร

โอ้..มากเลย..อันนั้นเป็นเรื่องน่าทึ่ง ทำให้เราเห็นตัวเองและอยู่กับตัวเอง ซึ่งตรงเป้าหมายกับการมาที่เสถียรธรรมครั้งนั้นมาเพื่อสงบใจและภาวนา  นพลักษณ์จึงเป็นหนทาง หรือเครื่องมือของการภาวนาสำหรับคนที่ไม่สนใจการภาวนาในรูปแบบ  การภาวนาที่เราเห็นคนที่เขานั่งสวดมนตร์ท่องบ่น แล้วเขาทำได้โดยนั่งตัวตรงหลังตรง แต่นั่นอาจไม่ใช่เรา  อาจารย์สุมนาท่านชวนให้นั่งหลับตาพักผ่อน ท่านบอกว่า..ลองสำรวจดูซิในโพรงศีรษะเรามีอะไรที่เจ็บปวด ท่านก็ว่าของท่านไป เราก็เริ่มสะดุดใจ..เอ๊ะ!..นี้มันเป็นการเรียงลักษณ์มาเรื่อยๆ หรือเปล่า พออธิบายมาถึงลักษณ์ 4 เราก็นิ่ง มันก็จะสงบกว่าที่จะมาทำแบบสมัยก่อน

 แสดงว่าพออบรมบอกว่าเป็นลักษณ์ ไม่มีความสงสัยเลยใช่ไหม

เพราะว่ามัน click (ตาสว่าง) ไงค่ะ มัน click ในคำอธิบายทั้งหมด ขณะที่เรานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง  ดิฉันกำลังต้องการคำอธิบายพออาจารย์สรุปว่าเป็นอย่างนี้ เราก็ค่อยๆ ดูว่าอ้อ..มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา  มันก็เริ่มมีคำตอบ

 อะไรเป็นประเด็นหลักที่คิดว่าเราเป็นคนลักษณ์นี้

ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนนะคะ ไม่ฟังใครมาก่อน เพราะเป็นคนที่เกรงมากในเรื่องของ bias (อคติ) หรือการเชื่ออะไรง่ายๆด้วยการโน้มน้าวจากคนอื่น  ดิฉันเป็นคนวิทยาศาสตร์มาก จะเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้าขณะนั้น ดังนั้นเวลามันชัด..มันจะชัดขึ้นมาเลย  เวลาถามคำถามอะไรขึ้นมาอาจารย์ก็จะยิ้มๆ  พอรู้ลักษณ์ตัวเองแล้วดิฉันทำงานต่อ  ไม่ได้ทิ้ง  เพราะรู้แล้วว่านพลักษณ์เป็นเครื่องมือ  เริ่มอ่านหนังสือ ลองสังเกต  และเห็นว่าตัวเองมีภาวะของอารมณ์แปรปรวน ภาวะอารมณ์โศกเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ

สมัยก่อนดิฉันจะถามคนรอบตัวว่า   มีอะไรกำลังเกิดขึ้นแถวนี้ที่มันทำให้เราเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุหรือไม่ ทำไมเราจึงสะเทือนใจโดยไม่มีสาเหตุ  แล้วเริ่มร้องไห้..คนที่นั่งอยู่เค้าจะตกใจว่าเป็นอะไร  เวลาที่อ่อนแอ ภาวะอารมรณ์เศร้าจะรุนแรงและบ่อยมาก แล้วหาสาเหตุไม่ได้  เมื่อนพลักษณ์อธิบายได้ก็พยายามศึกษาต่อ อาจารย์สอนว่าให้มองลงไปข้างใน เหมือนดูละครเวลาเกิดอารมณ์ให้ออกมาเป็นคนดู  บางทีเศร้าได้เป็นวันๆ  บางทีพอเศร้ามากดิฉันก็จะหยุดนิ่ง ถ้าหยุดนิ่งแล้วมองไม่เห็น ก็หาเพื่อนมาอยู่ด้วย  อย่างวันนี้ก็มีน้องที่สนใจนพลักษณ์มาอยู่ด้วย

จุดเด่นของคน 4 ที่อยู่กับความทุกข์ได้ เล่นกับความทุกข์ได้ เรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตแค่ไหน

ความทุกข์ของคนแต่ละคนเปรียบเทียบกันไม่ได้  ชีวิตดิฉันเมื่อความทุกข์ผ่านเข้ามาดิฉันจะคลุกลงไปกับความทุกข์แล้วก็ไหลไปกับมัน..เหลวไหลไปกับมัน..อยู่กับมัน นั่นเพราะเราลงไปเป็นตัวแสดงอยู่ในความทุกข์ ไม่เคยเป็นคนดู  การที่เราไหลเป็นตัวแสดงในความทุกข์ทำให้ได้เห็น ว่าความทุกข์นี่นั้นมันขมขื่นปวดร้าว

หลายปีก่อนเริ่มมาเป็นอาสาสมัครที่นี้ ท่านแม่ชีศันสนีย์จับบวชถือศีล นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ออกมายืนดู แล้วเห็นทุกข์ของชีวิต เห็นทุกข์ของตัวเอง  มองเห็นได้โดยการมาเป็นคนดู ตอนคุณเป็นผู้แสดงคุณจะเห็นว่าคนอื่นทำให้คุณทุกข์ แต่ไม่เห็นหรอกว่าคุณเป็นต้นเหตุของทุกข์เหล่านั้น  อารมณ์ของเรา..พอมันเศร้าโศก มันจะซึมจะทุรนทุราย เราจึงต้องออกมายืนดูให้ชัด เราจะเห็น พอเราเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง เมื่อเราเป็นคนดู ความทุกข์เหมือนงานศิลปะ  ซึ่งที่จริงชีวิตมันก็เป็นศิลปะ งดงาม  เมื่อเราเห็น เรารู้ว่าผิดตรงไหนเราจะไม่ไหลลงไปกับมัน เราหยุดแล้วตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ ก็จะสุขขึ้นมาสุขขึ้นมา

คนลักษณ์นี้นะคะอยู่กับความทุกข์ได้ เล่นกับความทุกข์ได้ เฝ้าสังเกตจนพอ สนุกขึ้นมานิดหนึ่ง มันหวานชื่นมาก  มันจะ bitter sweet หวานอมขม จะอยู่กับความทุกข์ จะพยายามอยู่กับมันให้ได้  ที่สำคัญขณะที่เราอยู่ในความทุกข์ แล้วมีเราคนมาอยู่ในความทุกข์กับเรา  เราจะหาความสุขได้จากจุดนั้น เพียงแค่เขาบอกว่า   “บอกว่าเดี๋ยวก็เช้าแล้ว...จะร้องไห้ทำไม”  เชื่อไหมในขณะนั้น มีความสุขชนิดที่..อิ่มขึ้นมาเลย   คำพูดทุกคำของเขาเราจะจำหมด  แล้วก็จะหาความสุขจากคำพูดแบบนี้ได้

 ก่อนที่จะรู้นพลักษณ์มีความสงสัยในตัวเองอย่างไร

สงสัยตลอดเวลา สงสัยว่าทำไมชีวิตของเรา เวลามันลง..มันจะลง..ลง…  แล้วก็จะมีเหตุบังเอิญเกิดในชีวิตมากมาย เป็นแบบนางสาวบังเอิญ เจอนั่น เจอนี่ เหตุการณ์ลึกซึ้ง เรื่องการเกิดการตาย จนกระทั่งสามารถจับมันมาบรรยาย ตีความมัน แล้วก็จะเห็นเรื่องเล็กๆ เรื่องน้อยๆ ชัดเจนมาก
  เป็นไหมที่เราพยายามจะละเลยสิ่งที่เรามี แล้วหาสิ่งที่เราไม่มีซึ่งเป็นประเด็นหลักของลักษณ์ 4

นี่เป็นคำพูดที่ตอบไปบนเวทีแล้วทุกคนก็ขำ  ดิฉันตอบไปตรงๆ ว่า  ไม่ชอบการแข่งขัน ไม่ใช่เพราะว่าเห็นการแข่งขันเป็นเรื่องไม่ดี แต่การแข่งขันไม่มีในชีวิตของดิฉัน เพราะทุกคนเป็นของชิ้นเดียวในโลก  ขณะเดียวกันดิฉันจะแสวงหาสิ่งที่เป็นของเลอค่าชิ้นเดียวของโลก  แต่เมื่อไรได้มาสิ่งนั้นก็ไม่ใช่แล้ว ก็ไม่แปลกแล้ว   เขาก็หัวเราะกันทั้งเวทีว่า แล้วคุณยังจะเถียงว่าไม่ใช่คนลักษณ์นี้ ก็ดิฉันไม่อยากเป็นคนลักษณ 4 นี่คะ เพราะคิดว่าคนลักษณ์ 4 เป็นคนเพ้อฝันไร้สาระ

เมื่อวานอ่านกวีบทหนึ่งเขาบอกว่า “ในชีวิตของข้าพเจ้าๆ มีความโง่อยู่ 2 อย่าง คือ หนึ่งข้าพเจ้าโง่ในความรัก สองข้าพเจ้าโง่ขนาดที่จะบรรยายมันออกมาเป็นบทกวี”  เป็นความโง่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนที่รักก็โง่แล้ว  ยังโง่เอาความรักนั้นมาบรรยาย  ดิฉันก็ว่า นั่นแหละเหมือนฉันเลย

 หลังจากที่รู้ลักษณ์แล้วมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต

อย่างแรกคือ การให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา  เข้าใจเขาทันที  เพราะเราเริ่มเข้าใจตัวเองว่าเป็นคนอย่างนี้   ขณะที่เราอยู่กับคนๆ นั้นจึงทำความทุกข์ให้กับเขามากมาย  เขาถึงแสดงออกกับเราอย่างนั้น ก็เลยให้อภัยได้  นี้เป็นเรื่องที่คิดว่าเป็นความก้าวหน้า...เป็นความก้าวหน้าอย่างสูง เมื่อคุณเข้าใจตัวเอง   การที่คุณเป็นคนคร่ำครวญ เพ้อฝัน บรรยาย พรรณา  คนบางคนทนเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย คุณมาแล้วเป็นพายุพัดหวืด คนอื่นเขาก็ล้มระเนระนาด  อันนี้ไม่ได้หมายถึงอารมรณ์โกรธนะค่ะ หมายถึงอารมณ์ร่ำไร รำพัน

ความก้าวหน้าอีกอย่างคือ การเรียนรู้เวลาโกรธ หรือเกลียดขึ้นมา เราอยากจะทำให้เขาเจ็บปวดทั้งที่หัวใจเรารักเขามาก พูดอะไรที่เจ็บๆ แสบๆ ทั้งที่ยังรักอยู่ แต่ไม่เคยเกลียดใครนะคะ เป็นเพียงอารมณ์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เสียคนที่รักไปมากพอแล้ว ดิฉันก็จะนิ่งมากขึ้น  แต่ถ้าหนักจริงๆ จะพยายามไม่อยู่คนเดียว ตามเพื่อน ตามรุ่นน้องมาอยู่ด้วยกัน ไปดูงานศิลปะ ไปดูโอเปร่า เพราะขณะชื่นชมงานศิลปะ ดิฉันได้แสดงอารมณ์เต็มที่

ทุกวันนี้ยังใช้นพลักษณ์สังเกตตัวเอง บางครั้งสนุกที่จะเฝ้าสังเกตว่าคนอื่นเค้าเป็นลักษณ์อะไร  แล้วพยายามอยู่กับเขานะไม่ใช่ไปตัดสินเค้า  เมื่อเกิดอะไรขึ้นที่เขาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจก็จะบอกตัวเองว่าเพราะเขาเป็นเช่นนี้เอง เขาเป็นคนละลักษณ์กับเรา  นพลักษณ์ก็บอกแล้วว่าคนมี ๙ ลักษณ์  เมื่อก่อนจะถามอยู่นั้นแหละทำไม ? ทำไม ? ทำไม เดี้ยวนี้เลิกถามแล้ว เศร้าน้อยลง เริ่มหยุดนิ่งได้มากขึ้น

มีเหตุการณ์หนึ่งตลกมาก  เช้าวันหนึ่งดิฉันตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกเศร้า เลยบอกตัวเองว่า “นี้เป็นอีกหนึ่งวันที่จะต้องอยู่ต่อ” ..มันเศร้าลึกขนาด..เริ่มถามตัวเองว่า จะต้องมีชีวิตอยู่ต่ออยู่ไปทำไม ? ทั้งที่เราเรียนหนังสือ เรียนธรรมะมากตั้งเยอะ  ยังเอาไม่อยู่ ดิฉันก็นอนท่าศพอาสนะ แล้วบอกตัวเองว่า เอาละ..เศร้านัก ไม่อยากอยู่ใช่ไหม..ให้มันตายไปเลย..ตายเดี๋ยวนี้ก็แล้วกัน..ไม่เสียดายเลยชีวิตนี้  เพราะอะไรที่อยากได้ทำก็ทำมาหมดแล้ว  วันนี้จะไม่ลุกไปไหนจะไม่ทำอะไรเลย  จบเลิก..จะให้หยุดหายใจไปตอนนั้น.. ถ้าไม่อยากลุกขึ้นฉันจะไม่ลุกขึ้น..จะตายไปกับลมหายใจนี้ก็แล้วกัน... คล้ายๆกับมันเศร้าจนถึงที่สุด

ดิฉันหายใจอยู่สัก 10 ลมหายใจ ก็มีแสงอะไรวาบสว่าง..แล้วความเศร้าก็หายไปซึ่งอาการอย่างนี้เมื่อก่อนไม่มี  ดิฉันจะไม่เคยเห็นภาพ จะไม่เคยสนใจที่จะเห็นอะไร  ตอนที่มาถือบวชมักได้ยินเสียงสวดมนต์ตลอดเวลาดังไกลมากตอนตีสอง  แต่เป็นคนไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้  ไม่สนใจเรื่องของไสยศาสตร์หรือเรื่องที่พูดต่อกันมาเลย  ใครจะเห็นอะไรก็เห็นไปไม่เกี่ยวกับเรา เราใช้ทำอะไรไม่ได้สักหน่อย แต่เมื่อเหตุการณ์ณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วหายเศร้า ลุกขึ้นมีชีวิตต่อได้ก็ดีนะ แต่ไม่ไปสนใจว่า แสงอะไร ทำไมเห็น ไม่สนใจก็มีชีวิตต่อไป
  ช่วงหลังสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมกับการเชื่อมโยงนพลักษณ์

จำเป็นต้องสนใจค่ะ ดิฉันพูดบนเวทีว่า เวลาดิฉันทุกข์มันเหมือนจะบ้า ภาพมันซ้อนกันเข้ามา ดิฉันมักจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ละเอียดเป็นภาพสีชัดเจนเลยนะ  ภาพแม่กำลังเช็ดตัวให้ตอนเด็ก หรือภาพที่เรากำลังคุยกันวันนี้ แล้วพอวันหนึ่งเราทุกข์ ภาพทุกภาพของความทุกข์ไหลกลับมา  มันจะบ้านะ  ดิฉันต้องหาอะไรมาจัดการถ้าไม่เช่นนั้นสติแตกแน่ ก็เลยจะทุ่มเททำงานให้มากขึ้น ตรงไหนมีงานให้ทำจะไปทำ เมื่อทำแล้วเหมือนลืมเวลาตัวตนจะหายไป  สมมติยืนเป็นพิธีกรแล้วมีความสุข  ตัวจะหายไปจากโลกนี้เลย  ช่วงเวลานั้นมันจะไม่มีตัวของเรา พอจบปุ๊บจะรู้สึกอิ่มข้างใน.. อิ่มไปหลายวัน ไม่ต้องกินไม่ต้องนอน  ไม่มีใครเชื่อ  พอคุยเรื่องนพลักษณ์ พูดเรื่องทำงานแล้วตัวหายไป  อาจารย์เขาจะอมยิ้ม  มันคงจะสื่ออะไร แต่ดิฉันไม่รู้

 นพลักษณ์ช่วยอะไรได้แค่ไหน

พอเข้ามาทำงาน มีปัญหาก็จะอดทน งานการก็ดีขึ้น

  ตัวอย่างรูปธรรม การใช้นพลักษณ์เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาในชีวิตจริง

ก่อนที่จะมาเรียนนพลักษณ์ชีวิตดิฉันมีปัญหากับคนรอบข้างมาก   ชนิดที่บอกว่าอยู่กับใครก็ไม่ได้แล้ว ตัวเองไม่มีความสุขอยู่กับคนอื่นก็ทำให้เขาไม่มีความสุข อย่างเพื่อนที่สนิทกันมาก เป็นเพื่อนที่อยู่ในความทุกข์กับเรา  เขาดีกับเรามาก และเราก็วางใจเขามาก   จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง เขาพูดกับเราตรงๆ ว่าเขาทนเราไม่ได้แล้ว เขาพูดออกมาตรงๆ ว่ารำคาญ  แล้วอาการที่เค้าแสดงออกรุนแรงมากนะคะ คือ เป็นการผลักออกทางอารมณ์ที่รุนแรงมากซึ่งคนรอบๆ ตัวเพื่อนคนนี้บอกว่าเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครทำให้เรารู้สึกไร้ค่า และนั่นเป็นน้ำตาหยดสุดท้ายที่เศร้ามาก

ดิฉันกลับบ้านแล้วอยู่คนเดียว  บอกกับตัวเองว่าถ้าฉันอยู่กับคนๆ นี้ไม่ได้  ฉันอยู่กับใครไม่ได้แล้ว ทุกครั้งที่เราทุกข์มาก เขาอดทนกับเรามาก แล้วเราทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำมากจนทนไม่ได้ เมื่อเรียนนพลักษณ์แล้วดิฉันลำดับเหตุการณ์และเห็นการพัฒนาอารมณ์ของตนเอง

กลางคืนนั่งศึกษานพลักษณ์นั่งคิดนิ่งๆเห็นตัวเองเห็นว่าทำไมเขาทำกับเราอย่างนั้น ตอนเช้าดิฉันไปขอโทษเขา  ยกมือไหว้ขอโทษเขาทั้งที่เขาเด็กกว่า  ดิฉันบอกว่า “ขอโทษนะ”  และคิดว่าถ้าขอโทษแล้วเขาไม่อภัยก็จะกลับไปศึกษาเรื่องนพลักษณ์ต่อ  เขารับคำขอโทษแล้วก็ให้อภัย แต่ดิฉันก็มีวิธีที่แยบยลนะ ก่อนถึงวันนั้นดิฉันส่งลักษณ์ 4 ของดิฉันไปให้เขาอ่านเพื่อให้เขารู้ว่าเราก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้...แล้วบอกเค้าว่าดิฉันเป็นคนอย่างนี้  สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันมีคำอธิบาย มันเป็นอย่างนี้ เขาก็เลยให้อภัย

คิดดู...นะ ตอนโกรธกัน ลูกเราไม่สบาย....ล้มหัวฟาดพื้นหน้าห้องของเขา ดิฉันยังไม่เรียกเค้ามาช่วยเลย...ดิฉันมีทิฐิมาก...พอเขาอภัยให้แล้ว..ดิฉันก็บอกเขาว่าฝากลูก..ด้วยนะ เขาก็บอกว่าจะไปดูให้  แล้วเราก็ดีต่อกันมาเรื่อยๆ  ที่ต้องยกอันนี้เป็นตัวอย่างเพราะคิดว่า...การยอมรับข้อผิดผลาดของตัวเอง การขอโทษเป็นสิ่งที่คนกล้าหาญควรจะทำ  นพลักษณ์ช่วยได้มาก  แต่อีกฝ่ายนั้นต้องเข้าใจนพลักษณ์ด้วย ต้องเข้าใจด้วยว่าแต่ละคนมันมีลักษณ์ที่เขาเองก็ไม่อยากเป็น  มันเป็นข้อด้อยที่เขาก็ไม่อยากเป็น

เมื่อคุณเข้าใจตัวเองต้องยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง และพยายามพัฒนา เพราะถ้าคุณไม่พยายามพัฒนา เขาเข้าใจคุณแต่ก็รับไม่ได้อยู่ดี ที่เขาให้อภัยคุณเพราะเขาเห็นว่าคุณกำลังแก้ไข คุณต้องกล้าหาญที่จะลุกขึ้นแก้ไข  ที่ดีมากสำหรับคนลักษณ์ 4 คือ เมื่อเข้าใจเรื่องนพลักษณ์แล้ว คุณจะเห็นว่า...คุณมีเพื่อน คุณยังมีใคร เพราะลักษณ์ 4 มักจะบอกว่าตัวเองไม่มีใคร  ความเศร้าลึกที่สุดของเบอร์ 4 คือ คุณไม่มีใคร  เมื่อคุณแก้ตรงนี้ได้มันก็จะแก้ได้หมด เหมือนโดมิโน ทุกเรื่องก็จะดีหมด ต่อแต่นี้คุณจะรู้ว่าคุณมีใคร เพราะคนเข้าใจคุณ ทนอยู่กับคุณได้มากขึ้น อันนี้เป็นจุดอ่อนที่แย่ที่สุด ที่คนลักษณ์ 4 ต้องแก้ไข

 อยากฝากอะไรทิ้งท้ายบ้าง

ฝากกราบขอบคุณครูนพลักษณ์ว่า..ท่านมีบุญคุณในแง่ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตของเรามากขึ้นนั้นเป็นอาณิสงฆ์โดยรวม กราบขอบพระคุณศาสตร์นี้ที่เกิดขึ้นมา ขอบพระคุณท่านแม่ชีศันสนีย์ ขอบพระคุณเพื่อนๆ ที่ทนความพิรี้พิไรของคนลักษณ์ 4 ขอบคุณสีสันของชีวิต  ถ้าความทุกข์ของลักษณ์อื่นๆ เป็นภาพขาวดำ ความทุกข์ของคนลักษณ์นี้ก็จะเป็นภาพสี  เป็นโทรทัศน์จอใหญ่

ถ้าบทสัมภาษณ์นี้ถึงท่านอาจารย์สันติกโรภิกขุท่านก็คงจะยิ้ม เพราะท่านเคยถามดิฉันว่า ตะกอนที่อยู่ในใจน่ะจะให้มันอยู่อย่างนั้นตลอดไปไม่คิดจะแซะมันออกหรือ  ตอนนี้ดิฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร นพลักษณ์เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้น้ำในแก้วตกตะกอน แล้วน้ำที่เหลือใสไม่เป็นพิษ และสามารถดื่มได้