รูปธรรมความเป็นลักษณ์ 1 จากชีวิตครอบครัวของ “คุณ ข.”
อาจารย์: โลกทัศน์ของเบอร์ 1 คือมองทุกอย่างว่า ดีและไม่ดีอยู่ตลอดเวลา และโลกทัศน์นี้ก็จะไปกำหนดวิธีคิดและพฤฒิกรรมของเขาว่าจะต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้เท่านั้น เพื่อให้เห็นการทำงานของกลไกเช่นนี้ในชีวิตของคนหนึ่ง อยากให้ คุณ ข. ลองเล่าตัวอย่างรูปธรรมสักเรื่องหนึ่งในชีวิต เช่นเรื่องงานหรือบทบาทหน้าที่ของเราที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
คุณ ข. : เราต้องรับผิดชอบภายในบ้าน เราต้อง…เอ่อ ต้องช่วยเหลือ ต้องอะไรอย่างนี้
อาจารย์: มันมีกี่ “ต้อง” เมื่อกี้มี 2 ต้อง ต้องรับผิดชอบ ต้องช่วยเหลือ ช่วยขยายความที่ว่าต้องรับผิดชอบนั้นอะไรบ้าง วาดภาพให้คนอื่นเห็นเพราะเบอร์1 มีหลายต้องเป็นร้อย เป็นพัน
คุณ ข. : ก็อย่างเช่น น้องที่เรียนจบมาแล้ว ก็อยากให้น้องคนนี้ทำงานหาเงิน ส่งเงินให้น้องอีกสองคนที่ยังเรียนอยู่ ก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ ! ทำไมเขาไม่คิดที่จะแบบ …
อาจารย์: อันนั้นเป็น “ต้อง”สำหรับเขา แต่ต้องของเราเองอย่างที่เราต้องรับผิดชอบนั้น คือ อะไรบ้าง
คุณ ข. : ก็คือทำงานและก็พยายามเก็บเงินเอาไว้ให้น้อง
อาจารย์: ก็เลยกลายเป็นกฏทั่วไปว่าสมาชิกครอบครัวที่มีความรับผิดชอบต้องหาเงินช่วยน้องเรียนหนังสือ ใช่ไหม ?
คุณ ข. : ใช่
อาจารย์: โอเค นี่คือหนึ่ง “ต้อง” แล้วมี “ต้อง” อื่นอีกไหม ?
คุณ ข. : แล้วก็ …เออ …แล้วก็รู้สึกว่าอยากให้ …มัน …ควร …มันจุกจิก มันมีเยอะแยะ
อาจารย์: ไม่เป็นไร เบอร์ 1 จุกจิกเยอะอยู่แล้ว
คุณ ข. : รู้สึกอยากให้แม่ …
อาจารย์: อันนั้นเรื่องของแม่ ขอให้พูดถึงตัวเรา เราต้องทำอะไร ยกตัวอย่างรูปธรรม เช่น ต้องซักผ้า แล้วพับผ้าให้เรียบร้อยไหม ?
คุณ ข. : ไม่ต้อง เป็นหน้าที่ของน้อง แต่เมื่อก่อนจะทำ
อาจารย์: แล้วมีวิธีทำไหม ?
คุณ ข. : วิธียังไง ?
อาจารย์ : วิธีที่ถูกต้อง
คุณ ข. : ไม่มี
อาจารย์: ทำอย่างไรก็ได้หรือ ? ไม่แคร์เลยหรือ ?
คุณ ข. : อ๋อ วิธีพับผ้าไม่มีเพราะไม่สนใจ แต่เวลาตากผ้าจะสนใจ ถ้าเกิดใครมาตากแล้ว ทำไม่เป็นจริง ๆ เช่น ตัวนี้จะต้องตากอย่างนี้ เพราะแดดมันจะมาแล้วแห้งเร็ว ก็จะเคลื่อนย้าย
อาจารย์: แต่เมื่อคนอื่นไม่ตากแบบนั้นแล้ว เราจะรู้สึกอย่างไร
คุณ ข. : ก็รู้สึกข้างในนิด ๆ
อาจารย์: หงุดหงิดไหม ?
คุณ ข. : นิดหน่อย แต่ไม่มาก
อาจารย์: ไม่ต้องมากแต่มันรู้สึกหงุดหงิดใช่ไหม
คุณ ข. : ใช่
อาจารย์: แล้วไปแนะนำเขาไหม
คุณ ข. : เปล่า
อาจารย์: ก็เลยต้องอดทนเห็นเขาตากผ้าไม่เป็นไปเรื่อยๆ
คุณ ข. : ก็ไม่ใช่ เราจะปล่อยให้เขาทำไป แต่ถ้าไม่ดี เราเห็นแล้วก็จะเปลี่ยนเอง
อาจารย์: อ้อ ไปตากผ้าใหม่ เมื่อเขาไปแล้ว เมื่อเขาไม่อยู่
คุณ ข. : ถึงเขาอยู่ก็จะไปตากใหม่...(ฮา…ฮา)
อาจารย์: ให้มันดีให้มันถูกต้อง
คุณ ข. : คือให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
อาจารย์: ก็คือให้มันถูกต้องตามความเข้าใจของเรา
คุณ ข. : ใช่
อาจารย์: อันนี้แม้เป็นตัวอย่างเล็กๆ แต่อาตมาพยายามจะให้เห็นว่า วิธีมองของเบอร์ 1 ก็จะมีบางเรื่องที่ไม่ใส่ใจ แต่เรื่องที่ใส่ใจ เช่น เรื่องตากผ้า มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนี้มันผิด อันนี้เป็นความรู้สึกความเห็นของเรา(คน 1) และถ้ามีอะไรที่ไม่เป็นตามที่เราเห็นว่ามันต้องเป็น มันหงุดหงิด มันรำคาญ อาจจะมีหลายเรื่องแต่มันเรื่องเล็กๆ ทั้งนั้น
คุณ ข. : มันเครียดมาก
อาจารย์: ใช่…แรกๆ อาตมาถามเรื่องสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบมีอะไรบ้าง ก็ไม่ได้ตอบเรื่องตัวเองไปตอบเรื่องน้อง เรื่องคนอื่น นี่คือ การ projection (การเอาความเป็นตัวเราไปใส่ตัวเขา) เมื่อเราอยู่ด้วยความต้องอย่างนี้ต้องอย่างนั้น มันก็โยน (project) เรื่องของเราเช่นนี้ไปใส่ผู้อื่นด้วย คือ เอามาตรฐานของตัวเองไปโยนใส่ผู้อื่น อย่างเช่นน้องคนโตที่เรามองเขาไม่ดี เพราะเราเอามาตรฐานที่ใช้กำหนดตัวเรา ที่ว่าสมาชิกที่ดีของครอบครัวต้องเก็บเงินส่งเสียน้องคนเล็ก ไปโยนใส่เขา
คุณ ข. : มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือค่ะ…(ฮา..ฮา) มันก็เป็นมาตรฐานสากลไม่ใช่หรือคะ
อาจารย์: ไม่ทราบ อย่างวัฒนธรรมอเมริกัน น้องถ้าอยากจะเรียนมันก็ไปหาเงินเอง หรือเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ไม่ใช่หน้าที่ของเราซึ่งเป็นพี่
คุณ ข. : อาจเป็นเพราะว่าพ่อเราเริ่มแก่ลง เลยเริ่มคิดถึงอนาคตว่าถ้าไม่มีเขาจะทำอย่างไร ก็ต้องทำซะตั้งแต่ตอนนี้
อาจารย์: โอเค..อันนั้นเราคิดว่าต้องรับผิดชอบแทนพ่อก็ตามใจ อาตมาไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก แต่อยากจะบอกให้เห็นว่า เราเอาสิ่งที่เราคิดเราเข้าใจไปโยนใส่น้องด้วยเหตุผลของเรา เราเคยคุยกับน้องหรือเปล่าว่าน้องคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เคยคุยไหม
คุณ ข. : การให้เขาเข้ามาร่วมรับผิดชอบหรือ? ก็..คือ..คุยแต่ไม่ได้คุยแบบสงบๆ เท่าไร
อาจารย์: คุยเมื่อมันโมโหแล้วหรือ
คุณ ข. : คือ น้องเขาคงเป็นเบอร์ ๘ เลยคุยกันด้วยอารมณ์
อาจารย์: เรากำลังขุดลงลึกว่าทำไม พวกเบอร์ 1 เมื่อคิดว่าอะไรควรหรือต้องเป็นอย่างไร เขาก็จะคิดหรือเชื่อว่าคนอื่นก็จะเห็นเช่นเดียวกันนั้น แต่พอเขาไม่เห็นเช่นนั้นก็มองว่า ทำไมมันโง่ ทำไมมันไม่เห็น เพราะว่าในความรู้สึกเขามันชัดเจนอยู่แล้ว สมาชิกครอบครัวต้องช่วยกันรับผิดชอบ ก็ฉันทำเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว ทำไมพวกเธอจึงไม่เห็น ไม่ทำตามอย่างฉัน โมโหง่าย แต่สิ่งที่คน 1 มองข้าม คือ นั่นความคิดของเขา เขาไปผูกอัตตลักษณ์(ความเป็นตัวตนของเขา)ไว้ กับความรับผิดชอบ กับสิ่งต่างๆ จนทำให้เขามองโลกในด้านเดียว ถ้าจะไปคุยกับน้องในเรื่องนี้ ถ้าสามารถคุยแบบสงบคุยได้ไม่ยาก เมื่อพร้อมที่จะฟังความรู้สึก ความคิดเห็นของน้อง แต่ที่ทำไม่ได้เพราะเขา(คน 1) ยึดติดในความคิดเห็นของเขา เพราะติดความเป็นตัวตนของเขา
คุณ ข. : ถ้าให้รับฟังความคิด ความรู้สึกของน้องหรือคะ ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่เขาเอาเงินไปใช้ในเรื่องอื่นๆ
อาจารย์: ใครคิดว่าไร้สาระล่ะ เป็นความคิดของใคร เขาหรือเรา
คุณ ข. : ก็เขาคิดจะทำอย่างนั้น เขาก็จะทำ
อาจารย์: เขาบอกอย่างนั้นหรือว่าเราเดาเอาเอง เคยถามเขาไหม
คุณ ข. : เคยถามแต่เขาก็บอกว่าอย่ามายุ่ง จะส่งเสีย..ก็ส่งเสียไปซิ
อาจารย์: สิ่งที่อาตมาพยายามจะพูดถึง คือ ถ้าเราคิดในใจแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันยากมากที่จะยอมรับเหตุผล หรือพฤติกรรมของคนอื่น เพราะเราได้ตัดสินว่าเขาผิดเสียแล้ว ถ้าเราเข้ามาคุยแบบนี้ คนอื่นก็จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ยอมรับเขา ยิ่งเบอร์ ๘ เขาก็จะยิ่งต่อต้าน เห็นไหม ฉะนั้นทำอย่างไรเบอร์ 1 จึงจะรู้ตัว และปล่อยวางซะ
คุณ ข. : ปล่อยวาง…หรือคะ…แล้วอนาคต? (ฮา…ฮา…ฮา)
อาจารย์: อนาคตยังไม่มา ถ้าอยากให้อนาคตดี…อนาคตดีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? อนาคตดีเกิดจากการไปบังคับน้องใช่ไหม? ให้น้องมันดี แล้วได้ผลไหม? เราทำอย่างไรในปัจจุบันเพื่อให้ได้อนาคตที่ดี?
คุณ ข. : เข้าใจเขาหรือคะ ?
อาจารย์: ไม่รู้ เราถาม คุณ ข. ๆ คิดยังไง
คุณ ข. : ถ้าเป็นตัวเองจะทำแบบเดิม คือ ตอนนี้จะไม่สนใจเขาแล้ว มันจะทำอะไรก็ปล่อยมันไป
อาจารย์: นี่..คือ..ความรักใช่ไหม? ความจริงแม้เราพยายามบอกตัวเองว่าไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องสนใจ แต่ลึกๆ..เรายังสนใจอยู่ ที่นี้มันก็ก็จะระเบิดออกมาเป็นครั้งเป็นคราว โดยกลไกเบอร์ 1 จะมีการมองเรื่องความถูก ความผิด เพราะฉะนั้นถ้าน้องทำอะไร ถ้ามันไม่ถูก มันก็ผิด ถ้ามันผิดเราจะช่วยแก้ไข เราจะบอกว่าทำอย่างนี้ถูกนะ นี่สำหรับเบอร์ 1 จะชี้นิ้วหรืออาจไม่ได้ชี้นิ้ว แต่วิธีพูด เสียงมันบอก…อย่างงี้…อย่างงี้…คุณเข้าใจไหม?
ถ้าเขาไม่ทำเราก็เอามาว่าอีกจนกว่าจะเบื่อแล้วเราก็ทิ้ง นี้เป็นโลกทัศน์แบบเบอร์ 1 และกลไกป้องกันตนเองของเบอร์ 1 คือการแสดงออกในทางตรงกันข้าม ซึ่งทำให้เราค่อนข้างต่อต้านเขา เขาอยากทำอย่างหนึ่งเราก็ต่อต้านไม่ให้ทำ และพยายามให้เขาทำอีกอย่างหนึ่ง คือ บังคับ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ ใครมาบังคับอาตมาๆไม่ชอบเลย แล้วเมื่อไม่เป็นไปตามที่เราต้องการถ้าเป็นเรื่องเล็กจะหงุดหงิด แต่พอบ่อยครั้งเข้ามันจะกลายเป็นโมโห พร้อมกับคิดในใจว่าเขาผิดอย่างนั้น..อย่างนี้ ซึ่งเป็นข้ออ้างในการหล่อเลี้ยงความโมโห
คุณ ข. : แล้วมัน(สิ่งที่เราทำกับน้อง) ไม่ดีหรือคะ
อาจารย์: ไม่ใช่ทำไม่ดี ผลที่เกิดตามมาไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับเขา หรืออาจเป็นผลเสีย
คุณ ข. : ก็ดีใจที่เขาคิดได้
อาจารย์: ดีใจที่เขาคิดได้? คิดอะไร?
คุณ ข. : คิดอะไร..คิดว่า…ตรงนั้นมันไม่ดีสำหรับเขา
อาจารย์: นี่แสดงว่าเรามาอยู่ในกรอบเบอร์ 1 เห็นไหมว่าเรายังติดอยู่ในกรอบว่าอะไรมันดี อะไรมันไม่ดี คือ เราตัดสินแล้วว่ามันไม่ดี จะปล่อยวาง (กรอบความดี)ตรงนี้ได้ไหม แค่มองเห็นตามกระบวนการโดยไม่ต้องคิดว่าถูกผิด ค่อยดูว่าทำอย่างนี้เขาเครียดไหม หรือเขามีความสุขหรือไม่ มันช่วยเขาเติบโตหรือไม่ โดยไม่ต้องคิดว่าเรื่องถูก ผิด ดี ไม่ดี
คุณ ข. : ดูเฉยๆ หรือคะ?
อาจารย์: ไม่ใช่ดูเฉยๆ..ดูอย่างดี อาจจะมีแรงจูงใจที่เอ็นดูเขา แต่ถ้าเราอยู่ในกรอบของความดี-ไม่ดี ถูก-ผิด ความเอ็นดูไม่ค่อยออกมาจากตัวเรา มันจะซ่อนอยู่ข้างในไม่ค่อยออกมา จริงๆ รักน้องไหม? หรือว่าเกลียดแล้ว?
คุณ ข. : คงจะรักค่ะ
อาจารย์: ในขณะที่ความรักยังมีอยู่ ความเอ็นดูมันจะมีโอกาสออกมา หาทางแสดงสิ่งนี้กับน้อง แล้วลองดูปฏิกิริยาของน้องจะเปลี่ยน วิธีที่จะเข้าใจกลไกเบอร์ 1 ความคิดที่มองโลกว่าถูก-ผิด ดี-ไม่ดี และมักจะเข้าข้างตัวเองบ่อยว่าเราดี เราเก่ง เราเรียบร้อย แล้วจะเอาความไม่ดีโยนใส่คนอื่นๆ อย่างของคุณ ข.คือเราดีแต่น้องไม่ดี
ถ้าคนอื่นประสบแบบนี้เขาจะรู้สึกอย่างไร เขาก็รู้สึกว่าถูกตัดสินแล้ว ถูกพิพากษาแล้ว เขาจะไม่เห็นความรักที่เบอร์ 1 มีอยู่ และบางทีเบอร์ 1 ก็ไม่เห็นด้วย แต่อาตมายืนยันว่ามันซ่อนอยู่ แต่บางทีเราไม่กล้าเปิดเผยความรัก
คุณ ข. : ถ้าอย่างนั้นเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ใช่ไหมค่ะ
อาจารย์: ถ้าเราเปลี่ยนโดยไม่ตัดสินน้องว่าดีหรือไม่ดี อาตมามองว่านั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเรา ถ้าเราไม่โกรธ ความเอ็นดูออกมาแทนเป็นการเปลี่ยนแปลงไหม น้องเองก็อาจเปลี่ยนแปลงด้วยโดยเราไม่ต้องกำหนดว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราอาจสร้างเหตุปัจจัยที่เอื้อเฟื้อต่อการเปลี่ยนแปลงของน้อง แต่ไม่ต้องชี้นิ้วว่าเปลี่ยนอย่างไร การเปลี่ยนคนอื่นเราเปลี่ยนไม่ได้ ยิ่งน้องเบอร์ ๘ แล้วเราพยายามชี้นำน้องจะดื้อแน่ แต่ลึก ๆ แล้วเบอร์ 8 มีความเปราะบางอยู่ แล้วเราได้เห็นความเปราะบางของน้องหรือยัง
คุณ ข. : เขาก็มี…เออความเปราะบางอยู่ เพราะเคยเห็นเขาเขียนว่า ในโลกนี้ไม่มีใครรักเขาเลย ก็…อึม…มันก็เป็นคนมีอารมณ์ ตรงข้ามกับท่าทีที่มันแสดงออกมา
อาจารย์: ถ้าหากต่อไปนี่เขาเริ่มรู้สึกว่าพี่สาวรักเขา แม้จะไม่มาก แต่เขารู้สึกอย่างนี้มากขึ้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาพอเดาได้ไหม
คุณ ข. : ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
อาจารย์: เขาจะดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่จะมีความสุขมากขึ้น และคนที่มีความสุขภายในตัวเองก็ง่ายที่จะเป็นคนรับผิดชอบ เป็นคนดี ให้เขาเป็นเองไม่ใช่เราไปบีบให้เป็น เห็นไหมว่าศึกษาความเป็นเบอร์ 1 แล้วค่อยอนุมานในสิ่งที่ตรงกันข้าม เราจะได้มุมมองใหม่ นี่เป็นปัญหาของทุกลักษณ์ สิ่งที่เราทำกับคนอื่นมันซ้ำซากมาก และบ่อยครั้งที่มันไม่ work มันจึงเป็นปัญหา ถ้าเราหลุดจากวิธีคิดแบบเดิม แล้วมองใหม่ก็จะเห็นทางที่ดี อย่างน้อยทำให้ทั้งสองฝ่ายเครียดน้อยลง
อาจารย์: ทุกอย่างที่อาตมาพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ต้องทำ ไม่ได้ให้ทำตาม แต่ ถ้าอยากทำก็ทำได้
คุณ ข. : ไม่เข้าใจ
อาจารย์: เพราะพูดกับคนเบอร์ 1 จึงพูดเช่นนี้ คือ ถ้าเรายังเป็นเบอร์1 พอฟังอะไรนิดหน่อยในหัวก็จะจำไว้ ควรทำอย่างนี้ ต่อไปนี้กับน้องจะไม่โมโห มันจะสร้างเป็นกฎ กฏข้อที่ 1…2…3… แล้วให้เราต้องทำตามนั้น จึงบอกก่อนเลยว่าไม่ต้องทำ แต่ถ้าใจอยากทำลองทำดูอาตมาไม่บังคับ เพราะถ้าบังคับให้ตัวเองทำอย่างนั้นมันก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าสมัครใจมันก็จะมีความสุข .