..ตอนคิดวางแผนจินตนาการมัน สนุก แต่พอมาถึงสิ่งที่คิดวางแผนไว้มาถึง เราไม่อยู่ตรงนั้นเพื่อสัมผัสและรู้สึกกับมันจริง ๆ เราไปอยู่กับเรื่องใหม่ คิดเรื่องใหม่ หัวไปอยู่กับเรื่องใหม่แต่ตัวอยู่ที่นี่ พอตัวไปถึงที่นั่นความคิดก็ไปที่อื่นอีกแล้ว มันก็อย่างนี้อยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นแม้แต่ความสุขก็ไม่ได้อร่อยกับมันจริง ๆ คือ พื้นฐานมาจากความกลัว.....
ไต่สวนเจาะลึกชีวิต กรณีศึกษาจากชีวิตคุณ จ. อาสาสมัครคนลักษณ์ 7
อาจารย์ : คน 7 จะมีความรู้สึกว่ามีอะไรมาจำกัดตัวเอง มีหลายอย่างที่จะมาจำกัดเขา โดยกลไกป้องกันของคน 7 ก็คือการที่จะหาเหตุผลต่าง ๆ มาอธิบายมากมายเพื่อ support สิ่งที่ตนเองทำหรือไม่อยากทำ โดยเป็นนิสัย พอมีอะไรที่มีวี่แววที่จะจำกัดเรา จะทำให้เจ็บปวด ลำบาก ไม่สะดวก หรือเบื่อ ซึ่งก็เป็นความหมายหนึ่งของความจำกัด เรียกว่าพอมีอะไรที่กระทบอารมณ์ความรู้สึก แม้นิดเดียว เบอร์ 7 ก็จะใช้พลังคิด จะคิดอะไรต่ออะไร เพื่อหนี หนีจากความรู้สึกที่ว่าจะไม่สบายใจ แล้วก็พยายามที่จะคิดสร้างสรรค์ คิดให้มันตื่นเต้นสนุกสนาน เพื่อที่ จะหนีความรู้สึกที่อาจจะไม่สบายใจ หรือเป็นทุกข์ ตามนิสัยที่เราเห็น กันอยู่ มีความคิดมากมายแต่บางทีไม่ลงมือทำ มัวแต่คิดวางแผน แล้วก็ต้องรักษาทางเลือก จะทำอะไรต้องมีทางเลือกอื่นเผื่อไว้ เพราะถ้าเกิดเบื่อไม่สนุก อึดอัด จะเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เรื่องการหาเหตุผลซึ่งเมื่อมีอะไรเล็กน้อยที่มากระทบใจ กลไกป้องกันก็จะออกมาเพื่อป้องกัน ของคน 7 คือจะไปสนใจที่อื่น ไม่สนใจตรงนี้ สนใจตรงนี้มันต้องผ่านความเจ็บปวดอย่างน้อยระดับหนึ่ง ความไม่สบายใจระดับหนึ่ง ก็เลยกระโดดหาอะไรที่น่าสนใจ กลไกทำนองนี้ เรื่องนี้มีในชีวิตบ้างไหม
คุณ จ. : มีเยอะเลยครับ
อาจารย์ : พอจะยกตัวอย่างได้ไหม เน้นเรื่องกลไก
คุณ จ. : การใช้เหตุผลอธิบายตนเอง กับเรื่องที่ทำให้เราเจ็บปวด-รับไม่ได้ เพื่อทำให้ตนเองสุขสบายใจขึ้นมาแทน เช่น เรื่องใกล้ตัวที่สุด คือ เหตุการณ์ในห้องเรียนที่นี่ วันก่อนผมมานั่งข้างหน้าแต่ รู้สึกว่ามันใกล้อาจารย์เกินไป ตกเป็นเป้ามากเกินไป อีกอย่างมันเมื่อยหลังแล้วก็เมื่อยขา ก็เลยถอยหลังไปพิงเสา ลึก ๆ รู้สึกว่าเราทำผิด เราขี้เกียจ เอาเปรียบคนอื่น ทำให้รู้สึก guilty แต่พอกำลังจะต้องเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ไม่ดีนี้ กลไกป้องกันตัวโดยการอ้างเหตุผลอื่นก็จะขึ้นมาแทนทันทีว่า “พิงเสานี่ดีนะ จะได้ไม่บังคนอื่นที่นั่งอยู่ข้างหลัง”
อาจารย์ : เป็นคนใจดีมาก...
คุณ จ. : เท่าที่ผมจับตัวเองได้ กลไกป้องกันตนเองแบบใช้เหตุผลที่ว่านี้ จะขึ้นมาทันทีเมื่อเรากำลังเข้าสู่ด้านลบของชีวิต เมื่อเราต้องเจอกับความรู้สึกที่ไม่ดีต่าง ๆ เช่น ความรู้สึก guilty ที่เพิ่งพูดไปนี้ หรือความรู้สึกโกรธ
ตัวอย่างความรู้สึกโกรธก็คือ วันหนึ่งขับรถไปทานก๋วยเตี๋ยว ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้มีชื่อเสียง คนไปกันเยอะ คนแน่น ที่จอดรถข้างนอกแน่น รถติดยาวเต็มไปหมด ผมก็รู้ว่าหาที่จอดลำบาก ก็ค่อย ๆ ขับช้า ๆ บังเอิญมีรถคันหนึ่งกำลังถอยออกมาจากที่จอดรถซึ่งอยู่หน้าร้านพอดี ฟลุคมาก เราก็รีบจอดเพื่อที่เขาออกแล้วเราจะเข้าไปแทน มีรถข้างหลังตามมา เขาเห็นเราจอดก็ไม่ยอมหยุด มาเรื่อย ๆ แล้วค่อยจอดติดเราเลย แต่ตรงที่เราจะจอดมันใกล้จุดที่จะเข้า มันใกล้เกินไป เราก็ถอยหลังมานิดนึงเพื่อที่จะเข้าไป แต่เขาไม่ยอมถอย เราก็เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เขาก็รู้ว่าเรากำลังเข้าไป เพราะรถกำลังออกเราก็รอ ส่งสัญญาณเขาก็ไม่ยอมถอย เราก็รู้สึกโกรธแล้ว ถ้าเป็นเบอร์ 8 ก็ลงไปลุยเลย เราเป็นเบอร์ 7 ก็คิดหาวิธีแก้ไขด้วยการใช้กลไกแบบของเรา คือมันเกิดความโกรธที่คับแค้นใจ ถ้าไม่มีทางออกมันก็อยู่กับเรา เราทนไม่ได้ก็ต้อง suffer เพื่อหนีจากภาวะต้อง suffer เราก็ต้องหาเหตุผลมาแก้ตัวไม่ให้โกรธ
อาจารย์ : ก็เลยไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวแล้ว
คุณ จ. : พอดีในซอยข้างหน้ามีที่จอด เราก็เลยไปจอดตรงนั้นแทน แล้วบอกกับตัวเองว่าที่นี่มันดีกว่าที่จอดเก่าเพราะมีต้นไม้ ร่มกว่า รถก็ไม่ร้อนด้วย
อาจารย์ : ลืมเรื่องที่เกิด ไปใส่ใจเรื่องที่ดีเรื่องใหม่
คุณ จ. : ใช่ คนอื่นอาจมองว่าคล้าย ๆ กับเราหลอกตัวเอง แต่ความจริงมันลึกกว่านั้นเพราะว่าเราเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เชื่อว่าที่จอดรถในซอยมันร่มรื่นกว่าจริง ๆ การนั่งพิงเสามันไม่บังคนข้างหลังจริง ๆ
อาจารย์ : เชื่อว่าจริง แต่ความจริงมันจริงแท้แค่ไหน เพราะเป็นนิสัยคน 7 ที่เมื่อประสบหรือรู้สึกกับอะไรที่ไม่ถูกใจหรือไม่สบายใจ มันคุ้นเคยมากเป็นนิสัย (ที่จะหาเหตุผลมาอธิบายใหม่) เลยเชื่อไม่ค่อยได้ เราเคยฟังเพื่อนเบอร์ 7 อธิบายอะไรต่ออะไร มันก็โฆษณาชวนเชื่อพอสมควร แต่บางเวลาอาจจะจริง
คุณ จ. : ตัวเราเองก็แยกไม่ออกว่ามันจริงหรือมันปลอม สับสน แต่ก่อนจะเชื่อว่าจริง ตั้งแต่มาเรียนนพลักษณ์มันทำให้เราเกิดปัญหาว่า เอ้ จริงหรือเปล่า หรือเราหลอกตัวเอง
อาจารย์ : แล้วเมื่อสับสนตรงนี้มีความรู้สึกจะเป็นอย่างไร มันยังสับสนที่หัวใช่ไหม กับความรู้สึก
คุณ จ. : อึดอัด คือว่าเราอึดอัดเพราะเราต้องการความชัดเจน แต่ก่อนพอกลไกมัน work เราก็เชื่อว่าจริง พอศึกษา(นพลักษณ์)แล้วมาเจอกลไกแบบนี้เราก็ทบทวนตัวเองว่าจริงหรือปลอม มันเหมือนกับหนังโฆษณาของเครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อหนึ่ง เคยดูกันไหมครับ ที่เริ่มตอนแรกกล้องจะซูมเข้าไปให้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในจอทีวี แต่มันซูมใกล้เครื่องทีวีมากจนเราไม่เห็นกรอบจอทีวี ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังดูเหตุการณ์จริง แล้วตอนหลังกล้องจะซูมออกมาไกลขึ้น ๆ จนเราเห็นกรอบจอทีวี จึงรู้ว่ากำลังดูหนัง (เหตุการณ์ในจอทีวี) ไม่ใช่เหตุการณ์จริง
อาจารย์ : ในโฆษณาก็จะรู้ว่าไม่จริง แต่(ในทางความคิดที่มาจาก)การปรุงแต่งของเบอร์ 7 ก็พออนุมานได้ว่าไม่จริง(เช่นกัน)
คุณ จ. : หลังจากฝึกฝนสติจนเริ่มจับกลไกการให้เหตุผลกับตัวเองได้ทันมากขึ้น แต่ยังสับสนว่าเหตุผลที่ออกมานี้มันจริงหรือปลอม เหมือนกับว่าเราเห็นภาพในทีวีตอนซูมเข้าไปแล้ว ไม่เห็นกรอบของจอ จึงไม่รู้ว่าภาพที่กำลังมองอยู่นี้เป็นภาพจริงหรือมายา ?
อาจารย์ : แทนที่จะซูมเข้าไป ซูมออกมาได้ไหม
คุณ จ. : บางครั้งก็ได้ บางครั้งสับสน
อาจารย์ : ตรงนี้ขอทบทวน กลไกมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร
คุณ จ. : เมื่อเรา hurt มีปัญหาในใจ
อาจารย์ : ที่มันกระทบใจใช่ไหม แล้วกลไกจะออกมาทางหัว มันจะหนีใช่ไหม
คุณ จ. : ใช่
อาจารย์ : กลไกทุกเบอร์มันจะหนีความทุกข์ใช่ไหม กรณีนี้จะชัดว่าหนีโดยไปใช้หัว ถ้าเราไม่ซูมเข้าไป ภาพที่เราดึงเข้าไปส่วนใหญ่สัมพันธ์กับเรื่องลักษณ์ว่าไม่ได้ ต้องซูมเข้าไป สิ่งที่ทำให้ซูมเข้าไปก็คือกลไก เพราะฉะนั้นถ้าเราถอยออกมาไม่ใช่ซูมเข้าไปตรงที่กลไกเริ่มทำงานจะมีผลอะไร
คุณ จ. : ก็มีปัญหาในใจ มันอึดอัดหรือเจ็บปวด ทนไม่ได้
อาจารย์ : อันนี้ตรงกับที่คุยกับเบอร์ 9 เมื่อกี้นี้ ทำอย่างไรดี กลไกทำให้เราซูมเข้าไป ต้องถอยกลับไปส่วนที่กลไกเริ่มทำงาน ตรงนั้นมีอะไร
คุณ จ. : ความขัดแย้ง ความไม่สบายใจ
อาจารย์ : ถ้าเราไม่เอายุทธศาสตร์แบบกลไกที่หนี เราจะเอายุทธศาสตร์อะไร
คุณ จ. : อันนี้ไม่เข้าใจ
อาจารย์ : เป็นคนฉลาดน่าจะคิดออก
คุณ จ. : ก็คืออยู่กับมัน ความไม่สบายใจ ความขัดแย้ง หาทางแก้โดยไม่ต้องเอาเรื่องอื่นมาบดบังทดแทน
อาจารย์ : ยังไม่ต้องหาทางแก้ ขอให้อยู่กับมันก่อนอย่าเพิ่งแก้ก็ได้ อยู่กับมันแล้วปล่อยความรู้สึกที่เบอร์ 7 ไม่คุ้นเคย ได้ฟังบ่อยครั้งเบอร์ 7 ชอบที่จะเลี่ยงความรู้สึกแต่ชอบที่จะคิดเพราะเรื่องความรู้สึกโดยตรงเบอร์ 7 อาจไม่ถนัด อันดับแรกขอ ให้ฝึกอยู่กับความรู้สึก ยอมรับมัน แล้วก็อยู่กับมัน หลายครั้งเกิดความ รู้สึกที่ดี เกิดความคิดดี ๆ แล้วเบอร์ 7 ก็จะตื่นเต้นกับความคิดที่สนุก ไม่ได้รู้สึกกับมันจริง ๆ จะไม่คุ้น บางทีมันรู้สึกนิดหน่อย
พอจะจับได้ไหมที่เราเคยอยู่กับความรู้สึกตามที่มันเป็นจริง ที่มันเจ็บปวด
คุณ จ. : เคยอยู่บ้าง แต่สถานการณ์เช่นนี้มักจะเกิดขึ้นโดยที่เราถูกบังคับ (ให้อยู่กับมัน) ไม่ใช่เราสมัครใจ
อาจารย์ : ลองเล่าซักเรื่อง...
คุณ จ. : ที่ทำงานมีปัญหาต่าง ๆที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งบ่อยครั้งผลของการตัดสินใจไม่ว่าทางไหนต้องกระทบคนอื่น ไม่มีทางเลี่ยงและมีความขัดแย้งในระดับต่าง ๆ ที่ทำให้เราไม่สบายใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดาของทุกองค์กร มันก็มีเช่นนี้ทุกที่ บางครั้งก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นปัญหาอะไร เรื่องมันคลุมเคลือ แต่มันเข้ามาอยู่ในใจเราแล้ว โดยที่บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ก่อนเป็นมาก แต่ตอนหลังดีขึ้น
รูปธรรมคือเราจะรู้สึกว่าวัน ศุกร์เราสบายใจมาก วันศุกร์จะเป็นเบอร์ 7 เยอะเลย แต่วันธรรมดาจะเป็นเบอร์ 1 เยอะ พอถึงวันศุกร์รู้สึกสบาย เราจะโล่งแล้ว ปัญหาที่ทำงานไม่ต้องไป deal กับมันมาก ให้มันจบอาทิตย์นั้น เราก็จะคิดเรื่องเที่ยวตอนเย็น ตอนกลางคืน วันเสาร์ วันเสาร์นี่จะต้องเที่ยวตลอด หารายการที่จะไปเที่ยว เพื่อจะปลดปล่อยตัวเองออกจากภาวะตึงเครียดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
คือตอนหลังมาย้อนดูตัวเอง ก็เข้าใจว่า ที่เราต้องออกไปวันศุกร์วันเสาร์ ก็เพื่อจะเปลี่ยนบรรยากาศ หรือพูดให้ชัดก็คือเพื่อเป็นการเปลี่ยน “สิ่งที่อยู่ในใจเรา” จากสิ่งเครียดๆเป็นสิ่งที่ดีกว่ารื่นรมย์กว่า มันเหมือนกับการหนีจากสภาวะความทุกข์ทางใจ แต่มันก็ยังเป็นการหนีปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะในที่สุดวันจันทร์ก็จะกลับมา นี่คือตัวอย่างของสถานการณ์ที่เราถูกบังคับ ให้ต้องอยู่กับความรู้สึกด้านลบที่อาจารย์ถามถึง เพราะเมื่อวันอาทิตย์มาถึง เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าวันต่อไปเป็นวันจันทร์ ตอนบ่ายวันอาทิตย์จะหมดแรงเลย มันกลับมา ปัญหาที่ทำงานต่าง ๆ ความไม่สบายใจต่าง ๆ ซึ่งเราหนีไป
สุดท้ายแล้วกลไกเบอร์ 7 มันไม่ work เอาเรื่องใหม่มาแทนแต่เรื่องเก่าก็ยังอยู่ ถึงจุดนึงมันถูกบังคับให้ต้องกลับมาอยู่ดี นั่นคือวันอาทิตย์ตอนบ่ายที่เราถูกบังคับให้ต้องกลับมาเผชิญกับความจริง ทุกคนจะรู้ พอวันอาทิตย์อย่ารบกวนผม ไม่ต้องโทรหา ไม่ต้องอะไร เพราะผมจะนอน
อาจารย์ : กรุณา เรื่องภายนอกไม่เป็นไร ช่วยบอกความรู้สึกตอนนั้น
คุณ จ. : ความรู้สึกเหมือนมันทุกข์ มันหมดเรี่ยวแรง ไม่สนุกสนานเบิกบานใจเหมือนปรกติ
อาจารย์ : ตรงนี้ขอให้อยู่กับสมาธิ ถ้ามีสมาธิเอามาใช้เดี๋ยวนี้เลย บ่าย ๆ วันอาทิตย์จะอยู่กับความรู้สึกได้ไหม
คุณ จ. : ไม่ได้
อาจารย์ : แล้วที่ไปนอน นอนหลับหรืออย่างไร ?
คุณ จ. : นอนเพราะว่ามันทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว มันถูกบังคับ สิ่งเดียวที่จะทำได้คือนอน
อาจารย์ : แล้วนอนอย่างเดียว ?
คุณ จ. : บางครั้งก็ฟังเพลง แต่ฟังแล้วไม่เพราะเท่าไร แต่บางครั้งก็ช่วยผ่อนคลายได้บ้าง ก็ฟังมันไป ทำสิ่งที่มันเบาที่สุด จะให้มันคลายออกแต่มันก็ไม่ค่อยคลาย แล้วก็ถูกบังคับ วันอาทิตย์ตอนกลางคืนก็จะนอนอย่างนั้น
อาจารย์ : เท่าที่ฟังยังฟังไม่ออกว่ามีอะไรมาบังคับ
คุณ จ. : คือบังคับให้ต้องคิดถึงปัญหาที่ทำงาน เพราะวันจันทร์ต้องเดินไปเจอ
อาจารย์ : นั่นมันวันจันทร์ นี่มันวันอาทิตย์
คุณ จ. : แต่มันคิดไปแล้ว คิดล่วงหน้า
อาจารย์ : แล้วอะไรบังคับให้คิด
คุณ จ. : มันมาเอง มันรู้ว่าเดี๋ยวต้องไปคิดแล้วนะ ปัญหาที่เราค้างไว้จะแก้ปัญหาอย่างไร
อาจารย์ : นี่อาจจะเป็นหลังมือ(ด้านตรงกันข้าม) ของการที่เบอร์ 7 มักคิดเรื่องอนาคตที่ดี ที่สนุกสนานเก่งใช่ไหม จนควบคุมไม่ได้ หลังมือของมันก็คือบางทีคิดอนาคต ในเรื่องทุกข์ด้วย เบอร์ 7 อาจไม่ค่อยอยากให้คนอื่นเห็น แต่หลายคนจะมีเรื่องเศร้าโศก เรื่องเครียด แต่นิสัยก็จะแสดงความ happy แต่เรื่องนี้ก็มีที่มันฟุ้ง คิดไปในอนาคตเหมือนกัน แต่เป็นอนาคตที่แย่ คือ ไม่อยู่กับปัจจุบันทั้งสุขทั้งทุกข์
ถ้าเป็นอาตมานะ วันอาทิตย์ก็ยังเที่ยวได้ OK วันจันทร์ไปทำงานแต่วันอาทิตย์เป็นวันของเรา จะให้วันอาทิตย์เป็นวันของบริษัทอีกได้อย่างไร ถ้าไม่เที่ยวก็เล่นสนุกอะไรสักอย่าง
คุณ จ. : แต่หลังจากมาอบรม(นพลักษณ์)แล้วก็ดีขึ้น วันอาทิตย์ก็ไม่ค่อยมีปัญหาเช่นนี้อีกแล้ว
อาจารย์ : แล้วตอนนี้วันอาทิตย์ทำอะไร
คุณ จ. : ทำอย่างอื่น ไม่ค่อยกลับมาคิดเรื่องงาน รอให้วันจันทร์ค่อยกลับไปคิด
อาจารย์ : แล้วเมื่อไม่คิด อยู่กับปัจจุบันเราอยู่กับอะไร คือถ้าทำแบบเบอร์ ๙ มันก็ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน มันเป็นการปล่อยปัจจุบันให้หมดไป หมดไป วันอาทิตย์เราอยู่กับปัจจุบันไหม
คุณ จ. : คิดว่าอยู่นะครับ พยายาม คือมันรู้สึกเห็นกลไกตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนเราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราคิดเรื่องงานล่วงหน้า เพียงรู้ว่าวันอาทิตย์แล้วมันมีอาการอย่างว่า เราไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร มาจากอะไร
อาจารย์ : นี่คือความหมายที่ซ่อนอยู่ในความไม่มัวเมา(บารมีคน 7 ) คำว่า “ไม่มัวเมา” ก็คืออยู่กับปัจจุบัน วันอาทิตย์เราก็อยู่กับเรื่องของวันอาทิตย์ จะพักผ่อนก็พักผ่อน จะเดินเล่นออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ก็เป็นเรื่องปัจจุบัน แล้วมีสมาธิอยู่กับเรื่องนั้น แทนที่จะมีหลายเรื่อง คิดนี่คิดโน่น แต่อยู่กับเรื่องเดียว นี่คือความไม่มัวเมา เกิดจิตมีสมาธิ จะพักผ่อน จะเล่น จะไปเที่ยวหรือไปเล่นแบบมีสาระอยู่บ้าง ถ้าเที่ยวแบบไม่มีสาระก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ
เรา ฟังเราก็ไม่ชัด ก็ต้องฝากเป็นการบ้านสำหรับเบอร์ 7 และเบอร์หัวอื่น ๆ ถ้าจะหลุดจากอำนาจของกลไกก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าปัจจุบันจะเหนื่อย ไม่สะดวก จะสุข ทุกข์ อย่างไรก็อยู่กับปัจจุบันอันนั้น
คุณ จ. : อันนั้นคือปัญหาของเรา คือการที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ทั้งสุขทั้งทุกข์ด้วยนะ เรื่องการไม่อยู่กับทุกข์นั้นชัดเจนพูดไปเยอะแล้ว ขอพูดถึงการ “หนีสุข” บ้างซึ่งเป็นเรื่องที่ผมต้องคิดลึกๆ ถึงได้เห็น...
ตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราไปเที่ยวไปเห็นสถานที่แปลกใหม่ ตอนแรกเรารู้สึกตื่นตาตื่นใจมากเลย ไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไรก็แล้วแต่ เช่นที่Londonจำได้ว่าวันแรกที่ไปถึงก็ไปนั่งรถเมล์ 2 ชั้น อยู่ชั้นบนแถวแรก นั่งไปเรื่อยๆ ดูบ้านเมืองเขาที่แปลกตา ตอนแรกจะรู้สึกตื่นเต้นสำราญใจแบบสุดๆ แต่พอแปล๊บเดียวใจเราก็กลับไปคิดถึงเรื่องอื่นข้างหน้าเสียแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ 2 ข้างทางของรถเมล์นั่น ณ จุดนั้นหลายครั้งเราไม่ได้ enjoy moment นั้นจริง ๆ เพราะเราคิดแล้วว่าจะไปที่ไหนต่อ หรือว่ามีอะไรน่าสนใจที่อื่น...
อาจารย์ : ตอนคิดวางแผนจินตนาการมันสนุก แต่พอมาถึงสิ่งที่คิดวางแผนไว้มาถึง เราไม่อยู่ตรงนั้นเพื่อสัมผัสและรู้สึกกับมันจริง ๆ เราไปอยู่กับเรื่องใหม่ คิดเรื่องใหม่ หัวไปอยู่กับเรื่องใหม่แต่ตัวอยู่ที่นี่ พอตัวไปถึงที่นั่นความคิดก็ไปที่อื่นอีกแล้ว มันก็อย่างนี้อยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นแม้แต่ความสุขก็ไม่ ได้อร่อยกับมันจริง ๆ คือ พื้นฐานมาจากความกลัว ถ้าอยู่ที่นี่กลัวว่าตัวเราจะถูกจำกัด เลยพร้อมที่จะไป พร้อมที่จะไปอยู่เรื่อย เบอร์ 5 พร้อมที่จะเก็บตัว ถ้าเก็บตัวแล้วใครทำอะไรไม่ได้ แต่ของเบอร์ 7 ตรงกันข้าม ไม่ใช่เก็บตัว ตัวอยู่นี่แต่วิ่งไปข้างหน้าอยู่เรื่อย ถ้าเราวิ่งไปข้างหน้าอยู่เรื่อยเขาก็จับเราไม่ได้ อะไรจะมาจำกัดเราไว้ไม่ได้ นี่คือกลไก หนีไปก่อน หนีไปก่อน จะหนีจากอะไร ก็หนีจากความสุขไง คือตอนแรกมันจะหนีจากความทุกข์ แต่ปรากฏว่าก็หนีจากความสุขด้วย เพราะหนีจากตัวเอง ตามหลักพระพุทธศาสนาความสุขที่แท้จริงต้องหาที่ตัวเอง ที่ปัจจุบัน แต่มันหนีจากปัจจุบัน มันหนีตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าอยากหาความสุขที่แท้จริงมันต้องหาวิธีที่จะไม่ลุตามอำนาจ กลไก เห็นไหม ทำอย่างไร
คุณ จ. : อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเจ็บปวด ?
อาจารย์ : โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่กับความรู้สึก ความรู้สึกยังไงก็ได้ ความสุขมันอาจจะยุ่งหรือจำกัด ถ้ารู้สึกว่าจำกัดมันจะเป็นเหมือนกรงขัง มันกลัวโดนขัง เลยต้องหาเหตุผล ถ้าไม่อดทนตรงนั้นมันจะหนี แม้แต่ความสุข เมื่อมันสุขตอนแรกเรา OK หลัง 1-2-3 ความสุขนั้นเริ่มจะหดตัว นานกว่านั้นเราจะต้องหนีไปไหม ถ้าเราไม่ไปมันอึดอัด เพราะกลไกมันทำงานเร็ว ดังนั้นขณะที่รู้สึกว่าคับแคบ กำลังโดนจำกัด ให้หายใจยาว ๆ หายใจสบาย ๆ ไม่ใช่เพื่อหนีความรู้สึก หายใจเพื่ออยู่กับความรู้สึกตรงนั้น
คุณ จ. : ที่อาจารย์พูดมาทำให้ผมเห็นภาพรวมของกลไกได้ชัดเจน แต่ผมยังไม่เข้าใจเรื่องความรู้สึกว่าถูกจำกัด ยังนึกไม่ออกเรื่องรู้สึกถูกจำกัด ยังจับความรู้สึกถูกจำกัดไม่ได้
อาจารย์ : มันยังไม่ทันได้รู้สึกถูกจำกัดเพราะหนีไปก่อน เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจำกัด เมื่อ หนีไปก่อนมันจึงไม่ได้ถูกจำกัด ไม่มีอะไรจำกัดเรา เราจำกัดตัวเอง จำกัดชีวิตอยู่ในกลไกที่ต้องหนีอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเบอร์ 7 เห็นตรงนี้ อันดับแรกเราโยนใส่โลก (projection) ว่าโลกจำกัดเรา แต่จริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ จำกัดตัวเองด้วยกลไกซ้ำซาก หนีไปก่อน ๆ จินตนาการไปก่อน คิดไปก่อน เที่ยวไปก่อน นี่คือการจำกัดตัวเรา เพราะเราอยู่กับอะไรไม่ได้ อันนี้ชัดที่สุด...
แล้วทาง เลือกที่แท้จริงอยู่ตรงไหน (ก็อยู่ที่การเลือกที่จะ)อยู่กับความรู้สึก นั่นคือทางเลือก (แต่ทางเลือกโดย)ที่เราหนีเป็นนิสัย นั่นมันไม่ใช่ทางเลือกแล้ว ทางเลือกคือไม่หนี เมื่อเบอร์ 7 เข้าใจตรงนี้จะเข้าข่ายของญาณทัศนะ การหนีมันเป็นกลไก การหนีไม่ใช่ทางเลือก เป็นทางเลือกปลอม ๆ เมื่ออยู่กับปัจจุบันอยู่กับความรู้สึกที่แท้จริงนั่นคือตัวทุกข์ หรือบางทีมันไม่สุขไม่ทุกข์ อาจจะเบื่อ ๆ หน่อย ซึ่งก็ทนยากเหมือนกัน
คุณ จ. : ตรงนี้ผมมีปัญหาว่ามันยังแยกแยะไม่ออกระหว่างการหนีตามกลไกกิเลสของเรา กับการหนีที่สมเหตุสมผล คือเมื่อเราควรออกจากสภาพการณ์ที่มันเลวร้ายต่อเราจริง ๆ
อาจารย์ : อาตมาไม่พูดเรื่องสิ่งภายนอกเลย สิ่งภายนอกเอาไว้ก่อน อยากรู้ว่าสิ่งภายนอกจะจำกัดอย่างไรจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราไม่หนีความรู้สึก ถ้าเราหนีจากความรู้สึกเราก็จะไม่สามารถแยกแยะได้ เรื่อง(ภายนอก)เหล่านั้นเรา(ยัง)ไม่พูดถึง เราพูดว่าเลือกที่จะอยู่กับความรู้สึก เมื่อความรู้สึกนั้นสลายตัวหรือเปลี่ยนตามเรื่องของมัน เรื่องภายนอกจึงจะชัดเจน แล้วเราจะสามารถมองด้วยสมาธิ จะทำอะไรก็ทำไป ทำให้มันเสร็จ แต่สมาธินั้นเกิดจากภายในก่อนจึงจะเห็นสิ่งภายนอกได้อย่างชัดเจน... พอจะปฏิบัติได้บ้างไหม เอาเทปที่อัดนี้ไปฟังแล้วฟังอีก ฟังจนเบื่อ แล้วอยู่กับความเบื่อ ตรงนั้นจะบอก นี่ถือได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของ “การภาวนา”